Wednesday, December 3, 2008

เรื่องเล่าของผมกับโซฟีที่เดินตามไป

หลายอาทิตย์ก่อน ผมไป trip กับที่ทำงาน ไปดู site ที่หัวหิน
ขากลับมาแวะที่หัวหิน บ้านของเจ้านาย คืนนั้นมีกินข้าวเย็นกับร้าน
ของลูกค้าที่ทำอาหาร มีแขกมา 2-3 คนเห็นจะได้ เป็นพวกฝั่ง
ยุโรป ถ้าจำไม่ผิด ฝรั่งเศษ

ในวงสนทนาฟังรู้เรื่องแต่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ทำไม เพราะเขากำลังคุยกันเรื่อง
ปรัชญาล่ะมั้ง ชื่ออะไรต่อมิอะไรพรั่งพรู้ออกมาเต็ม ไม่รู้จักซักคน และแล้ว
ด้วยความที่อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในวงนั้นด้วย เลยถามว่า

"Did you ever read Sophi's world?"

พวกนั้นทำหน้าตากระตือรือร้อมาพูดด้วยทันที
"Yes, Yes lovely."

ผิดคาด แต่ท้ายที่สุดผมก็ได้อยู่นั้น
พวกเขาไม่ได้คุยใจความในหนังสือนั้นเลย เพียงแค่บอกว่า หนังสือดีนะ
เค้าเอาไปเรียนกันใน class ในมหาวิทยาลัยที่ยุโรป

เอาเข้าจริงๆ ผมก็จำไม่ได้ว่าได้อะไรจากหนังสือนั้นบ้าง เพราะจำไม่ได้จริงๆ
บอกไม่ได้เลย แต่รู้ว่าเธอตามผมมาแบบระยะกระชั้นชิดเสมอมา ตั้งแต่อ่าน
หนังสือเล่มนั้นจบ อาจจะต้องมีใครมาสะกิดต่อมหรือติ่งอะไรซักอย่าง เพื่อที่
จะรื้อฟื้น หากแต่อยู่ดีๆจะนึกขึ้นมาเองก็น้อยมาก หรือถ้านึกได้ ก็รู้สึกเฉยๆ
ไม่ได้ดีใจอะไร แต่ที่ดีที่สุดนั้นคือ เรารู้ว่าเขาอยู่ข้างๆเรา โซฟีที่รัก

บางวันที่รักก็อาจเป็นที่รักของคนอื่นด้วยเช่นกัน ผมเห็นคนกอดเธออยู่ข้างถนน
บางคนอุ้มเธอ บางทีเธอไปขี่คอใครซักคน แต่เมื่อผมมองกลับมา เธอยังอยู่ที่เดิม
ผมประสาทหลอนไปหรือเปล่า

คงไม่ โซฟีคงมีอีกหลายคน

Tuesday, December 2, 2008

อ่านหนังสือเล่มไหนแล้วพาใจสุข

โลกของโซฟี

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่ฉันอ่านแล้าพาใจสุขมากที่สุด เพราะเป็นสองเล่มที่ช่วยตอบคำถามต่างๆนานาที่ฉันชอบสงสัยมาตลอดเวลา

เมื่อฉันยังเด็ก ฉันเป็นคนร่าเริง ใครพูดอะไรนิดอะไรหน่อยฉันก็หัวเราะได้ตลอดเวลา แต่เมื่อฉันโตขึ้น มีเหตุการณ์ที่ฉันต้องย้ายบ้าน เนื่องจากลูกชายของเจ้าของบ้าน เค้าถูกรถชน แม่ของเค้าจึงต้องการเงินเพื่อที่จะมารักษา ก็เลย ต้องขายบ้านที่แม่ฉันเช่่ามา เกือบ 20 ปี สำหรับฉัน 15 ปี ครอบครัวของฉันเลยต้องย้ายบ้านออกไป

เมื่อฉันรู้ว่าต้องย้ายบ้านมันมีความรู้สึกหงุดหงิดว่าทำไมเราต้องย้าย ฉันถามแม่ว่า ทำไมแม่ไม่ซื้อบ้านหลังนี้ไปเลย คำตอบที่ฉันได้ มันก็ไม่ใช่คำตอบที่ฉันต้องการ ฉันอาจจะเด็กเกินไปที่จะเข้าใจเหตุผลของผู้ใหญ่ คำถามที่เกิดขึ้นในใจฉันมากมาย มันเป็นเพราะ ฉันไม่อยากย้ายจากบ้านหลังที่ฉันเคยอยู่มาตั้งแต่เกิด ฉันผูกพันกับบ้านหลังนี้มาก แต่ความจริงก็คือความจริง ในหัวสมองของฉันก็ยังคงมีคำถามที่ต้องการคำตอบอยู่ดี

เมื่อฉันย้ายบ้าน ต่อไปใครจะมาอยู่บ้านหลังนี้ เค้าจะรู้มั๊ยว่า คนก่อนที่เคยอยู่ คือฉัน แล้วฉันจะไปอยู่ที่ไหน ใครจะเคยมาอยู่ก่อนฉันจะมา เวลาฉันนั่งรถผ่านแล้วมองคนอื่นๆ ฉันก็จะเริ่มถามว่า เค้าอยู่ที่นี้กันมาตั้งแต่เกิด รึเปล่านะ เค้ามาอยู่ต่อจากคนอื่น เค้าไม่รู้สึกอะไรกันเลยเหรอ ป้าที่ขายน้ำพริก ที่ฉันเคยขี่จักรยานไปซื้อทุกวันก็อดกินสิ แล้วน้ำพริกเจ้าอื่นในระแวก ที่ฉันกำลังย้ายไปอยู่ จะอร่อยเท่าป้าประดับนี้มั๊ย จะไม่มีซอยเล็กๆให้ฉันขี่จักรยานเล่นอีกแล้ว ฉันจะไม่ได้ไปเล่นขายของกับเพื่อนข้างบ้านอีกแล้ว คนแถวๆนี้ก็คงลืมฉันเมื่อฉันโตขึ้น

แล้วสิบปีต่อไป ที่ตรงนี้มันจะเปลี่ยนไปยังไง ยี่สิบปีล่ะ ฉันจะไปอยู่ที่ไหนแล้ว ป๊ากับแม่ล่ะ คนที่ฉันเคยรู้จัก เค้าจะทำอะไร อยู่ที่ไหนกัน แล้วต่อไปล่ะ แล้วร้อยปีต่อไปล่ะ ฉันก็คงจะไม่อยู่ตรงนี้แล้ว แล้วทุกๆคนก็ต้องหายไป ฉันจะรู้สึกวูบทุกครั้ง ที่ฉันคิดเรื่องเหล่านี้ จนต้องรีบหายใจขึ้นมา

คำถามมันเริ่มมีมากขึ้นและต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ไหน เวลาไหน เมื่อมันมีการหยุดนิ่งและอะไรก็ตามที่ฉันมองเห็น ฉันก็จะสงสัย หรืออดสงสัยไม่ได้ ไส้ดินสอที่ฉันกำลังใช้มันอยู่นี้ เดี๋ยวมันก็จะหมด ฉันก็ต้องไปซื๊อ เมื่อมันหมดจากห้าง ห้างก็ต้องไปสั่งซื๊อ จากแหล่งผลิต แล้วแหล่งผลิตนั้นมันอยู่ที่ไหน แล้วมันมีแหล่งผลิตนี้มาได้ยังไง คำถามของฉันมักจะเริ่มต้นจากคนละที่ คนละทาง แต่ในตอนจบของคำถามมันจะกลับมาที่เดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปไหน

จนวันนึงฉันได้ไปเจอหนังสือเรื่อง โลกของโซฟี มีคนแนะนำฉันให้อ่าน ตอนที่ฉันได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ฉันก็อายุ 22 ได้แล้ว เพียงแค่ บทเริ่มต้น ฉันก็ต้องรีบอ่านบทต่อๆไป เพราะฉันคิดว่าฉันจะเจอคำตอบ
ฉันรู้สึกว่าฉัน เหมือนโซฟี และฉันก็คิดว่าใครหลายๆคนก็ เหมือนโซฟี เพราะเมื่อวันนึงเราโตขึ้น เราก็จะต้องผ่านประสบการณ์ต่างๆ จนประสบการณ์เหล่านั้น มันสร้างความสงสัยใคร่รู้ให้กับพวกเรา ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้จบภายใน สามสี่วัน เมื่อฉันอ่านจบ ฉันก็เข้าใจอะไรขึ้นเยอะมากมาย ฉันมีคำตอบ ฉันโล่งใจ ฉันสบายใจ ฉันสุขใจ ที่ฉันได้รู้ว่า เมื่อฉันจากโลกนี้ฉันก็ยังจะอยู่ในนี้ อยู่ในจักรวาลกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ฉันไม่ได้หายไปไหน ฉันยังอยู่กับป๊ากับแม่ กับพี่ฉัน กับเพื่อนๆของฉัน กับคนที่ฉันเคยรู้จักมา ฉันยังอยู่ในคนรุ่นหลังๆ ได้มองฉันจากโลกที่ฉันก็เคยเหยียบมัน มาที่ท้องฟ้า และพวกเค้าก็จะเห็นฉันอยู่ที่ตรงนี้ ฉันไม่ได้หายไปไหน

Monday, December 1, 2008

หรือมันก็แค่หน้าที่

วันนี้ แค่ คิดเกี่ยวกับว่า

จะวันพ่อแล้ว

จะทำอะไรให้ป๊าดี

คิดออกว่า

อยากพาป๊าไปดูหนัง

แต่อยู่ดี ความคิดบ้าๆมันก็เกิดขึ้นตามมาติดๆกัน

ทำไม ต้องพาป๊าไปดูหนังด้วย

ทำเพราะ อยากให้ป๊า มีความสุข ที่ลูกของป๊าพาไปดูหนัง

หรือว่า ทำไปเพราะ เราเป็นลูก วันพ่อ ก็ต้องหาอะไรทำใหเค้าบ้าง

ความคิดมันก็เลย เลยเถิด เตลิดเปิดเปิง ไปกันใหญ่

ว่า

หรือ ทุกวันที่เราทำไป

มันก็แค่ หน้าที่ ที่ต้องทำ

เป็นลูก ก็ต้อง กตัญญู

เป็นพี่ ก็ต้อง ดูแลน้อง

เป็นน้อง ก็ต้องเชื่อฟังพี่

เป็น นักเรียน ก็มีหน้าที่เรียนให้ดี

เป็น ครู ก็ต้อง สอนแต่สิ่งดีๆ พานักเรียนไปให้ถึงฝั่ง จากนั้นมันจะเป็นยังไง ก็........

เป็นเพื่อน ก็ต้อง.............

เป็นแฟน ก็ต้อง.............

เป็นลูกน้อง ก็ต้อง...........

ใครเป็นอะไร มีหน้าที่อะไร ก็ต้อง.............

หรือว่า ไม่ใช่แบบนั้น

..................

วกวน ตลอดเวลา

Monday, November 24, 2008

รุ่นพี่ รุ่น น้อง

วันก่อน ไปขึ้นรถไฟฟ้า
ก็มองไปเห็น เด็กผู้ชาย ม.ปลายคนนึง ยืนใส่หูฟังอยู่
แต่พอผ่านไปสองสถานี ก็มีผู้ชายอีกคนนึง เดินเข้ามา ยืนอยู่ใกล้ๆ น้องผู้ชายคนนั้น
ซักพัก ผู้ชายคนนั้น ก็หันหน้ามาทักน้องคนนั้น ว่า
"เรารุ่นที่เท่าไหร่แล้วล่ะ"
เด็กผู้ชายมีอาการ งงๆนิดหน่อย

"128" (ถ้าจำไม่ผิด)

"พี่ 118"

"เรียนอยู่ม.ไรแล้วล่ะ"

"ม.5 ครับ"

"สายไรอ่ะ"

"สายวิทย์ครับ"

"อยากเรียนต่อไรล่ะ"

"ยังไม่รู้ครับ"

"พี่เรียนจบ วิดวะ จุฬา"

แล้วปีนี้ จตุ มีวันไหน

"(ซักวัน)"

"อืมมมม จะพยายามไปให้ได้"

"แล้วทำไมกลับดึกล่ะ เรียนพิเศษ ดูหนัง "

"ซ๊อม ดุริยางค์ ครับ"

"เล่นไรล่ะ"

"เล่นกลองครับ"

"อืมมม"

รถไฟฟ้ากำลังใกล้ถึง สถานี สยาม

"ลงไหนล่ะเรา"

"ไปสายสีลมครับ"

"พี่ไปหมอชิต"

แล้วพี่ผู้ชายคนนั้นก็เอามือควักไปในกระเป๋าเสื้อหยิบบางอย่างออกมา

"อ่ะ นี่นามบัตรพี่ มีไรให้ช่วยก็บอกมาได้ โทรมาได้ ช่วยได้จะช่วย"

"ขอบคุณครับ"

แล้วบทสนทนาก็จบลงระหว่าง คนสองคน พี่ ไม่ได้เป็นพี่น้องกัน

ไม่ได้เป็น สนิทสนมกัน เรียกได้ว่า เป็นคนแปลกหน้าระหว่างกันและกัน

แต่แค่เพียงเค้า เรียนมาจากสถาบันเดียวกัน

ไม่ทราบได้ว่า ที่โรงเรียนเค้าปลูกฝังกันด้วยวิธีไหน

ความผูกพันจึงได้เกิดขึ้นอย่างแนบแน่น

คนที่ห่างกันถึง 10 ปี มาเจอกันอีกที ก็ทักทายกันได้อย่างปกติ

เหมือนรู้จักกันมานาน

หลังจากที่ฉันได้เห็น เค้าสองคนคุยกัน

ฉันก็ได้แต่อึ้ง และ รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น

ที่ฉันไม่ค่อยจะได้รับนัก

นี่สิ ถึงเรียกว่า รุ่นพี่รุ่นน้อง

Saturday, November 1, 2008

^_^

วันนี้นู๋มีความสุข

ดีใจก่ะนู๋หน่อย

หิหิ

:))))))))))))))

Sunday, October 19, 2008

circle

วันนี้ไปเจอเพลงเพราะๆมา

ตามนีี้เลย

Title : Circle Buy it now
Add to cart
Artist :
Album :
Time : 4:33
Label :

ทางบางเส้นทาง
อาจเป็นเส้นกลม
ไม่มีวันหลงทางเลยสักที

ทางบางหนทาง
อาจจะวกวน
ไม่มีวันพ้นไปจากทางนี้

ทางเดินของเราอาจไม่เหมือนใคร
เพราะเราจะไปด้วยกัน
เรามีที่มาต่างกันเพียงไหน
จะคล้ายกันในการก้าวเดิน

ทางเดินของใครอาจดูยากเย็น
แต่มีคนเห็น ในความตั้งใจ

ทางเดินของใครอาจดูสวยดี แต่วันพรุ่งนี้มันอาจเลวร้าย
ทางเดินของเราอาจไม่เหมือนใคร

เรามีที่มาต่างกันเพียงไหน
จะคล้ายกันในการก้าวเดิน

เดินเป็นวงกลม
วนเป็นวงเวียน
ไม่เคยจะเปลี่ยนแปลงเลยสักครั้ง
เดินทางกันไปในวงโคจร
ก็มีวันย้อนมาเจอกันทีหลัง
แล้วเราก็จากกันไปอีกหน
ก็วนมาใหม่ให้เจอเดิมๆ
ถึงเราจะจากกันไปกี่ครั้ง
ก็ยังจะกลับมาพบมาเจอ

http://www.coolvoice.com/v3.3b2/play/1783/Circle/Boy_Friday_/_Mear_Scrubb_/__Portrait

^_^

Sunday, October 12, 2008

พูดออกและบอกถูก

ก็ ตื่นเต้น นิดหน่อยเน๊อะ วันซ๊อม

ก็ ดี

ก็ ......

...........................................

อนาคต

เหนื่อยเน๊อะ

เป็นความเหนื่อย สนุก อีกแบบนึง

เป็นความเข้าใจในระดับ มากขึ้นอีกระดับนึง

ที่เค้าเรียกว่า โตขึ้น มันก็เป็นแบบนี้แหล่ะ

ไอที่เค้าบอกว่า ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน หรือ ให้เชื่อฟังไว้บ้าง มันก็เป็นแบบนี้นี่เอง

ความแตกต่างของแต่ละคน ก็คงเป็น อะไรที่แต่ละคน แต่ละเส้นทาง แต่ละอะไรก็แล้วแต่

แล้วแต่ เวลา ของคนคนนั้น เหตุการณ์ ของคนคนนั้น การตัดสินใจ ของคนคนนั้น

แต่ละวัน มีแต่ความเข้าใจที่มากขึ้น มากขึ้น เรื่อยๆ สนุกดีเหมือนกันนะ

สนุกตรงที่ได้รู้ว่า ทำไมคนเรา มันเหนื่อย เน๊อะ

มัน พลังเยอะ เน๊อะ

มัน คิดกันได้ เน๊อะ

มัน ทำกันได้ เน๊อะ

ทำไม ถึงแรงเยอะ กันขนาดนี้

ก็ยังคง ไม่เชื่อว่า เราจะสามารถทำอะไรได้มากมาย แบบนั้น

ยังมีแรงผลักดัน ไม่เพียงพอ

แต่ก็พยายามอยู่

พยายามมากๆอยู่

ตอนกำลังสนุกกับการฝัน และมี ภาพในฝัน มาก

สนุกมากๆ สนุกกับการฝัน และ ตื่นมาบันทึกความฝัน ด้วยการวาดรูปเก็บไว้

มันมีสี มี เหตุการณ์ ที่น่าตื่นเต้น และ ไม่มีอยู่จริง

อยากจะไปไหนก็ได้

ไม่ต้องกลัว ในสิ่งที่ความเป็นจริง มันคงจะน่ากลัว มาก

บางวัน อาจจะเสียชีวิต ไปกับการฝัน ก็ได้ ใครจะรู้

เพิ่งไปดู the fall มา ชอบมาก

ชอบ ความสัมพันธ์ ระหว่างเด็ก กับ คนป่วย

ชอบ ภาพ ที่มัน ตัดไป ตัดมา แต่มันเป็นเรื่อง ที่ต่อเนื่องกัน

ชอบ การผูกเรื่อง ขึ้นมา

ชอบ สี ของ ภาพ

ชอบ มุขตลก ที่ทำให้หนัง มีความน่ารัก และ เสน่ห์

ชอบ

พูดไป ว่าไป มันก็เกิดอาการ ซ๊ำ

อาการแบบนี้ทำให้เรา เบื่อ และจะทำให้คิดอะไรไม่ออก และจะหยุดนิ่ง

หยุดนิ่งไป สามนาที ...........

ไปดีกว่า

:P

ช่วงเวลา

พูดไม่ออก บอกไม่ถูก

ก่ะลังอยู่ในช่วงเวลา

กลั่นกรอง

รอเวลา

^_^

Tuesday, October 7, 2008

เสียงในความทรงจำ - วรพจน์ พันธ์พงศ์ - เอาอีก

สัมพาษณ์ เดชา ศิริภัทร

หลายคนเห็นพ่อแม่ทำงาน บอกว่าให้พอ อยู่บ้านเฉยๆ นั้นแหละเท่ากับเร่งให้แกตาย แกทำมีความสุข เคยทำ
ได้ใช้แรง นอนหลับสบาย เดี๋ยวนี้ไปออกกำลังที่ fitness บ้าโง่ ทำแบบแยกส่วน เอาไปทำที่ได้ประโยชน์ดีกว่า
เช่น ปลูกต้นไม้ ไป fitness กินเยอะเอง แล้วไปเสียตังค่าสมาชิก แต่งตัว รถ มากมาย เสียเงินกี่ต่อ
แล้วคิดว่าตัวเองฉลาด ทันสมัย

การบวชคือการบังคบด้วยศิล ถูกบังคับด้วยประเภณี ต่อมามหาลัย ทิ้งหมด คิดว่าแทนกันได้ แทนไม่ได้
ไปแย่งมาจากวัด โง่กว่าเดิม เรียนจบออกมาเป็นมดให้เขาใช้ ต้องไปเข้าระบบ เหมือนเครื่องจักรโรงงาน
เป็นการควบุมคนด้วยการศึกษา ป้อนเข้าโรงงาน

Saturday, October 4, 2008

เสียงในความทรงจำ - วรพจน์ พันธ์พงศ์ - เพิ่มเติม

แกล้งลำบากทำไม
อ้าว คุณลองไปเกิดเป็นลูกคนรวยสิ เค้ามีปม พ่อแม่ประสบความสำเร็จมาก หาไว้ให้ทุกอย่าง
อย่าไปนึกว่าโชคดีเกิดมารวย พวนนั้นปวดร้าวในใจ โหยหาอะไรบางอย่าง ไม่ได้สร้างอะไรของตัวเอง


เราต้องหาจุดที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์กันให้ได้ พวกเด็กวัยรุ่นที่ขับมอเตอร์ไซค์เร็วๆ จริงๆ มันขี้ขลาด
เลยต้องแสดงพยายามลบสิ่งนั้น ต้องดึงความขี้ขลาดมาในที่พอดี อีกพวกคือ ขับรถช้า มันก็ต้องวิ่งให้เร็วขึ้น
ยกตัวอย่างง่ายๆ ขับรถในถนน motorway มึงขับ 120 ช้าแล้วนะ แต่ถนนธรรมดา 120 เร็วมาก
คือมันต้องหาจุดสมดุลให้ได้

Tuesday, September 30, 2008

Story of somewhere in coffee shop

-- note --
ภาษาไทยไม่มี "." และ ","
ผมเอามาผสมกันเอง และไม่ชอบ "." เอาซะเลย
จะเห็น "," มากมาย เอาไว้เว้นวรรคให้คนอ่านได้โต้ตอบบ้าง

มันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อเสียทีเดียวที่ต้องมนั่งอยู่ตรงนี้ เพราะผมไม่ได้ทำการบ้านมาส่งตอนเช้าวันนี้ เลยต้องมานั่งหาวิธีโกหกอาจารย์ แต่ก็ยังไม่วายคิดไม่ออกเสียที นั้นไงมากันแล้ว มึงทำมาหรือเปล่าว่ะ กูแย่แน่เลย แต่ชั่งมันเถอะ รุ่นพี่ก็บอกกันมาว่าโกหกไปเรื่อยเปื่อย เดี๋ยวก็ผ่านไปเองแหละ อย่างมากก็แค่ได้เกรดห่วย เราเรียนสถาปัตนะเว้ย ไม่ต้องเกรดสวยหรอก หรือมึงว่ายังไงว่ะ, กูว่าทำตัวเจ๋งๆเอาไว้ก็พอ คนเรามันก็ดูกันแค่นี้แหละ ส่วนงานแม่งก็หลอกๆกันไป ทั้งเราทั้งลูกค้าก็หลอกกันทั้งนั้น เรียนๆไปเถอะ จบไปแม่งก็เหมือนกัน ไปหลอกกัน นั้นอาจารย์มาแล้วไง กูขอทีหลังสุดเลยแล้วกันนะเพื่อน, ห่า มึงดิ มึงทำมาไม่ใช่เหรอ, เออว่ะ อาจจะจริงอย่างมึงว่า กูก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูจะซวยเอา มาตรฐานสูงตั้งแต่แรก, อาจารย์ครับผมจะทำโมเดิร์นครับ, อะไรว่ะก็ดูมีความรู้แล้วนี่หว่า ทำไมโดนสวดซะขนาดนี้ อายชิ๊บหายเลย ทำไงดีว่ะ อาจารย์แม่งพูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย ทำไมต้องคิดมากขนาดนั้นด้วย สถาปัตยกรรมมันขนาดนั้นเลยเหรอ มันกินได้หรือเปล่าว่ะ คนอื่นพวกมันจะรู้กันหรือ ถ้ามึงไม่บอกกูก็ไม่รู้เลยนะเนี่ย แล้วคิดไปทำไม ในเมื่อแม่งก็ไม่ได้อยากจะรู้อยู่แล้ว เปลืองสมอง

ครั้งแรกที่กูเจอพี่เค้า แม่งทำให้ชีวิตกูเปลี่ยนไปเลยนะวันนั้น กูยอมรับเลยว่ากูที่เป็นกูอยู่ตอนนี้ แม่งมาจากแก กูยอมให้แกทุกอย่าง เรียกว่าเป็นเพื่อนตายเลย ไม่หรอก คือเรียกว่าเพื่อนได้อย่างไม่กระดากปากนะ หรือมึงว่าไงว่ะ, กูไม่รู้นะ กูว่าแม่งคนๆหนึ่งจะเจอเรื่องแบบนี้ได้ มันไม่ใช่ง่ายๆ กูว่ากูโชคดีที่เจอแก ไม่งั้นกูแม่งเหลวแหลกไปแล้วหว่ะ กูแม่งเคยโง่มาไง ไม่เหมือนพวกมึงที่พวกมึงมีความคิด มีความสามารถมาตั้งแต่ต้น มันเหมือนกูได้เจอโลกใหม่ที่กูไม่รู้จัก มันทำให้กูกระตือรือร้นที่จะอ่าน ค้นหา ไม่อยุดหย่อน ซึ่งกูว่ามันเป็นจุดที่ดีมากๆในชีวิตของกูเลย เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของกูก็ว่าได้ มึงลองเปรียบเทียบดูแล้วกัน, อีกอย่างนะ กูไม่ได้รู้สึกว่ามันยากเย็นแสนเข็ญเหมือนที่พวกมึงรู้สึกกันในตอนนี้ เพราะกูรู้แค่ว่า กูไม่อยากกลับไปตรงจุดนั้นอีกแล้ว ห่าแม่งกูได้ 1.84 ติดโปรมาแล้วนะเทอมแรกเลย มันยากมากเลยที่จะทำให้มันดีขึ้น แม้ว่ามึงจะได้เกรด 4.00 ทุกเทอมก็ตาม อย่างที่บอก มันเป็นจุดที่ทำให้กูนึกถึงอยู่เสมอ เออ แม่งเปลี่ยนเรื่องคุยเหอะว่ะ กูว่าแม่งเครียดไป, อ่อ เหรอ กูนึกว่ามึงจะเบื่อเสียอีก หายากนะที่เจอคนที่สามารถคุยกันในเรื่องแบบนี้ได้ คนทั่วไป ไม่หรอก คนไทยส่วยใหญ่แม่งเจอแบบนี้ ก็ไม่อยากคุยแล้ว กูแม่งเบื่อคนพวกนี้เพราะแม่งไม่ได้เคยจะหยุดคิดเลยไง เอาแต่มุ่งหน้าไปอย่างเดียว คืองี้ กูขับรถไง แล้วชอบแวะที่ต่างๆ หรือแม้กระทั้งกูเดินเล่นในเมือง กูไปหมดแหละ น่าสนใจทั้งนั้น คือระหว่างทางมันมีอะไรอีกมากมายไง ทำไมจะต้องบอกว่ากูจะไปสยามแล้วก็ไป ไปทำห่าไรกันว่ะ ไม่ใช่ว่ากูไม่ไปสยามนะ เพียงแต่มึงจะมุ่งมั้นอะไรขนาดนั้น กูเจอร้านอาหารอร่อยๆตั้งเยอะ ในขณะที่กูทำให้ตัวเองหลงทาง แล้วมันทำให้กูรู้เส้นทางอีกตั้งเยอะ ไม่ใช่ว่าทางอ้อมมันไม่ดีหรอก มึงลองดูประวัติศาสตร์ก็แล้วกัน เราแม่งอ้อมกันมาทั้งนั้น ทางลัดมีไว้ทำเหี้ยอะไร, แม่งทำให้คนโง่ลงเรื่อยๆ, ทุกคนต่างไปทางนั้นหมด สำเร็จรูป คือมันง่ายไง กูเลยไม่ชอบอ่านหนังสือที่แบบว่า วิธีพัฒนาตนเองอะไรประมานนั้น เพราะแม่งจะลัดไปทำไมว่ะ เราก็เรียนรู้ตัวตนของเราไปสิ สังคมของเรามันก็หล่อหลอม เป็นเบ้าให้เรา ตอนนี้แม่งทั้งเมืองเหมือนกันหมด เหมือนกับถูกปั้มมาจากโรงงานเดียวกันเลย เพราะไอ้หนังสือบ้าบอพวกนั้น แล้วพอคนที่มาจากแบบนั้นมันเยอะเข้า คนแบบที่ไม่ได้อ่าน หรือทำตามอย่างที่พวกมันทำกัน แม่งก็มาหาว่าที่ทำแบบนั้นมันผิด มันต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ทุกอย่างมันผิดหมด มึงว่าไง, ใช่ กูชื่นชอบคนสมัยก่อนมากเลยนะ ที่กว่าจะหาตัวตนของตัวเองได้ แม่งใช้เวลามาทั้งชีวิต กูถามหน่อยว่า มีซักกี่คนที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ง่ายๆเลย, เอาแค่นี้แม่งก็ยากแล้ว ไม่ต้องถามว่า มึงได้ทำอะไรอย่างที่มึงชอบแล้วหรือยังในชีวิต เอาแค่คำถามแรกมึงก็ตายกันหมดแล้ว หายากมาก ที่รู้ว่าตัวเองคืออะไร ชอบอะไร ทำอะไรอยู่ ทำไปทำไม ทุกอย่างมันต้องถูกตอบให้ได้ก่อน, เดี๋ยวนี้แม่งก็หลอกๆไง แบบว่าทำอะไรที่คนอื่นไม่ทำกัน แล้วบอกว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองชอบ กูอาจจะผิดก็ได้นะ คิดว่า, อ่า มึงลองนึกดูดิ ง่ายๆเลย เด็กๆมึงอยากเป็นไร มันเป็นคำถามที่งี่เง่าที่สุดเลย แม่งถามเด็ก ป.1, ห่าแม่ง มันจะรู้ได้ไง พอตอบไม่ได้ก็ได้ทีผู้ใหญ่เลย เป็นหมอสิ (รวยดี) จะได้ช่วยคน เป็นวิศวะกรสิ (รวยดี) จะได้เก่งๆ เป็นนักวิทยาศาสตร์สิ (รวยดี) จะได้ไปนอกจักรวาร แม่งอะไรทำนองนี้, มึงยังจำได้ป่ะตอนที่เราไปเชียงใหม่กันนะ city walk ที่อาจารย์แกพาไปนะ แม่งสุดยอด กูว่าวันนั้นเป็นอะไรที่ดีที่สุดที่ไปเชียงใหม่กับแกแล้ว ที่เราไปนั่งฟังอาจารย์เชียงใหม่แกพูด ชื่ออะไรนะกูจำไม่ได้, เออ ช่างมันเถอะ ไม่สำคัญเท่าเนื้อหาหรอก เห็นหรือเปล่า คนอื่นๆแม่งจะจำแต่ชื่อคน แต่แม่งไม่ได้เนื้อหาอะไรเลย จำไปทำไม ก็ที่เราเรียนประวัติศาสตร์ไง แม่งเอาแต่ท่องจำห่าอะไรก็ไม่รู้ มันเลยคิดกันไม่เป็นไง, เออ กลับมาก่อน คือวันนั้นแกบอกว่า ความจริงมีหลายชุด, เออ สุดๆเลย แม่งมันทำให้เห็นภาพไง ที่แต่ก่อนความจริงเกี่ยวกับโลกของเรา แม่งแบนในสมัยนั้น แต่ตอนนี้มันกลม ต่อมาแม่งวงรี พอโลกมันแคบด้วย internet ก็แม่งกลับมาแบน โลกแม่งไม่ได้กว้าง เพราะคนแม่งเดินทางได้ไกลขึ้น ทำนองนี้ เพราะฉนั้นมันเลยทำให้กูรู้เลยว่า มันมีหลายอย่างที่สามารถตอบคำถาม หรือสิ่งที่ต้องการคำนิยาม สามารถเป็นไปได้ทั้งนั้น เพราะฉนั้นพวกมึงอย่างเชื่อกู นิยามมันเองเถอะ, แล้วมันเชื่อมโยงไง มึงอ่านโลกของโซฟียัง, สุดๆครับ แม่งเล่าปรัชญา ความเชื่อ สิ่งต่างๆที่มันเปลี่ยนแปลงตามแต่ละยุคสมัยได้อย่างดี อย่างนิชเช่ เองก็บอกว่าเราไม่สามารถเชื่อสิ่งต่างๆได้เลย เพราะมันผ่านมาจากการตีความทั้งสิ้น, เออ กูคิดว่านะ ถ้าจำไม่ผิด, ประมานว่าพวกตัวหนังสือที่เราอ่านๆมันอยู่ เราต้องมาตีความมันอง ไม่สามารถเชื่อได้ทั้งหมดในนั้น เพราะมันมาจากการตีความมาแล้ว แล้วมึงเห็นพวก reference ในหนังสือนั้นป่ะ แม่งคือการตีความจากการตีความซ้ำๆกันไง แม่งทับกันไปเรื่อยๆ บิดเบือนไปหมด แม่งไม่มีอะไร original แล้ว, มันทำให้กูต้องกลับมาคิดเลยว่ากูคิดยังไงกับมัน การอ่านมันทำให้รู้มากขึ้นนะ กูชอบอ่าน แต่กูไม่ชอบอ่านเก็บรายละเอียด กูรู้ตัวเองเลย เพราะว่ากูเชื่อแบบนี้ ส่วนมึงกูรู้ว่ามึงเป็นคนอีกแบบ มึงด้วย ซึ่งมันก็แปลกดีที่เราแม่งคบกันได้, เอ้า ห่า มึงเปลี่ยนเรื่องคุยเร็วนะเนี่ย เออ กูชอบหว่ะ ถ้าเป็นคนอื่นคงงงไปแล้วว่าเราคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันได้ยังไง มึงว่าไงนะ, อ่อ เออ กูก็ดูนะ ชอมมากเลย matrix นะ กูว่าเป็นหนังที่มีปรัชญาแฝงอยู่เยอะเลย ไม่รู้คนอื่นว่าไงนะ, มันออกมาจากคำพูด สิ่งที่มันพยายามจะบอกไง ชอบตอนที่ไอ้คนในสภาแก่ๆหัวขาวๆพูดว่า ผมไม่รู้หรอกว่าเครื่องบำบัดน้ำเสียทำงานอย่างไร แต่ผมรู้แน่ๆว่ามันทำอะไร แล้วถ้ามันไม่ทำงานแล้วจะเกิดอะไร, แม่งแบบเป็นประเด็นที่เราแม่งไม่เคยนึกไง เราแม่งเรียนกันไปดิ physic ไม่เคยเอามาใช้ได้เลย, กูไม่ได้บอกว่ามันเอามาใช้จริงไม่ได้ในชีวิตประจำวันนะ กูแค่บอกว่า เราไม่สามารถจะนำมันมาใช้ได้ต่างหาก เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทำอะไรได้บ้าง เรารู้แต่สูตรมัน วิธีการของมันเท่านั้น แม่งแย่ที่สุดแล้วกูว่า คือตอนนี้กูมองว่าไอ้พวกวิชาพวกนั้น มันเป็นวิธีการมองโลกในอีกแง่มุมหนึ่ง เช่นพอมึงขับรถ มึงสามารถเอามาอธิบายได้ไง เช่นว่าทำไมรถบรรทุกแม่งออกตัวช้าจังว่ะ แม่งทำไมมันเบรกทำไมอีกตั้งไกล ทำไมเราถึงตัดหน้ารถบันทุกแล้วอันตราย มันตอบได้ดีกว่าชุดความคิดอื่นๆ ไม่สิ ได้ง่ายกว่ามากกว่านะ, มีอีกนะ ตอนที่ morpheus แม่งถามว่า อะไรคือความจริง สิ่งที่เราสามารถพิสูจน์ได้หรือ สิ่งที่เห็น สิ่งที่สัมผัสได้หรือ แล้วถามต่อด้วยว่า ถ้านี่คือความฝัน แล้วคุณคิดว่าฝันนั้นเป็นความจริงอย่างที่คุณไม่สามารถแยกออกได้ แล้วคุณจะแยกมันยังไงระหว่างความฝันกับความจริง เออไม่เป๊ะนะ แต่ประมานนี้, กูว่าเป็นคำถามที่ดีมากเลยว่ะ, คือเมื่ออาทิตย์ก่อนกูเรียนวิชา seminar แกให้อ่านเกี่ยวกับเรื่อง senses ของมนุษย์ แล้วออกมา present กูเป็นคนแรกเลยหว่ะ ก่อนหน้านั้นกูก็อ่านคิดว่าไม่มีอะไร พออ่านจบแล้วมาคิดๆดู แม่ง senses ทุกอย่างของเราแม่งถูกหลอกได้หมดเลยว่ะ น่ากลัวมาก แล้วมึงรู้ป่ะว่า sense ที่แม่งหลอกง่ายที่สุดก็คือตาเรานี่ไง มันถูกตอกย้ำด้วยวิธีที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน ว่าเรื่อง marketing, advertising ต่างๆนาๆ แม่งทำไมสำคัญนักว่ะ เพราะมันหลอกเราได้ มันควบคุมความเชื่อของเราได้, มันเคยมีคนทำการทดลองที่เราภาพของโค๊กไปใส่ไว้ใน frame หนึ่งของหนัง แล้วแม่งทำให้คนดูดูอย่างที่ไม่รู้ตัว แล้วไงรู้เปล่า เขาว่ากันว่า คนแม่งอยากแดกโค๊กว่ะ, หิวน้ำว่ะ ไปหากาแฟกินกัน, คาปูชิโน่ร้อนครับ, นั้งข้างนอกนะ กูจะสูบบุหรี่ด้วย, น่าไม่ร้อนเท่าไรหรอก นี่มันตอนเย็นแล้วนะเว้ย, ขอบคุณครับ ขอที่เขี่ยบุหรี่ด้วย, กาแฟกับบุหรี่แม่งเป็นสิ่งที่โครตจะเข้ากันเลยว่ะ มีสองสิ่งนี้กูอยู่ได้ทั้งวัน เฮ้ย ขอโทษๆ ลมแม่งพัดไปทางนั้นว่ะ เปลี่ยนที่กัน, ดีขึ้นหน่อย, กูเริ่มเมื่อไหร่จำไม่ได้แล้ว แต่น่าจะประมาณมัธยม 6 มั้งนะ แต่ครั้งแรกจริงๆ ก็ประถม ลองดูนะ ตอนนั้นแม่งดูดไม่เป็นไง แม่งเป่าออกอย่างเดียวเลย พอมาอีกหน่อย ประถมปลายก็เริ่มเอามาดูด ตอนนั้นดูดอย่างเดียวไม่ได้เอาเข้าปอด ขโมยพ่อมา น้องกูแม่งฟ้องพ่อ โดนตีซะ แล้วเป็นไง ไอ้เหี้ย ต้อนนี้แม่งก็ดูดเหมือนก ชวนกูด้วยู, ไม่รู้ดิ กูคงคิดว่าเท่ห์มั้ง จริงๆนะ ใช่ๆ ใช่เลย เท่ห์ เวลากูดูดแล้วมันนึกถึงหนังเจ้าพ่อที่เวลาแม่ง close up ไปที่มือเพรียวๆของมัน มีควันที่ออกมาอย่างสวยงาม กูแม่งยอมเลยฉากแบบนั้น, ประเด็นคือ กูไม่ได้บอกว่าเท่ห์ให้ใครดูไง คือกูคิดว่ากูเท่ห์ แค่นั้นแม่งก็พอแล้ว คนอื่นอาจบอกไม่ ช่างแม่ง กูดูด ไม่ใช่มึงซักหน่อย กูคงมีโลกส่วนตัวเยอะมั้ง, เอ้ย กูไม่ได้ติดน่ะ ไม่ดิ ติดแหละ แต่ถ้าไม่ให้ดูดกันเลย แบบบังคับน่ะ กูทำได้ ไม่ได้ลงแดงอะไรมาก มันไม่ใช่ทุกสิ่ง แค่กูชอบ ทำแล้วรู้สึกดี ไม่ได้เบียดเบียนใครมากนัก เพราะเวลากูดูดกูก็พยายามดูต้นลมนะ ไม่ให้ไปโดนคนอื่น ถ้ามีคนอื่นอยู่ กูไม่ดูดตรงนั้น ไปห่างๆ แต่ถ้ากูดูดอยู่ก่อนตรงนั้นแล้ว มึงมาทีหลัง แล้วมาบอกให้หยุด มึงบ้าหรือเปล่าว่ะ กูไม่ได้ดูตรงป้ายรถเมล์นะโว้ย, เหี้ยแม่ง ประเทศไทยกูล่ะขำ แม่งรณรงค์กันแม่งเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วมึงขายทำไม รัฐบาลขายทำไม มึงไม่อยากให้คนดูด ก็ไม่ต้องขาย เหี้ย ปากว่าตาขยิบ, เหี้ยถ้ามึงบอกว่าอย่าดูด แล้วมึงไม่ขายน่ะ กูยอมเลิกให้พวกมึงเลย ยอม จริงๆ, คือมันเหมือนกับแม่ทำพฤติกรรมสวนทางกับลูก กูเคยได้ยินมาว่า ถ้าแม่จะตำหนิลูก ทุกอย่างมันจะต้องสัมพันธ์กันเพราะเด็กแม่งจะจำอย่างนั้น เช่น มึงด่าลูกแล้วหน้ามึงยิ้ม ชิ๊บหาย เด็กแม่งจำว่าแม่ยิ้ม แม่งแม่โกรธ, ประมานนั้น, เออ กูถามหน่อย ถ้ามีป้ายห้ามสูบบุหรี่ กับที่เขี่ยบุหรี่ อยู่ตรงหน้ามึง มึงจะเชื่ออะไร, นั้นไงมึงไม่ได้เป็นคนดูดไง มึงเชื่อป้าย แต่กูเชื่อที่เขี่ยบุหรี่ไง เห็นภาพมั้ย, มึงดูญี่ปุ่น แม่งไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาไง ไม่ห้าม ทำที่ให้มึงดูดด้วย แบบประมานว่าไปตายกับพวกเดียวกันไปเลย สุดๆ มันต้องอย่างนั้น เพราะรัฐเองก็ต้องการเงินภาษีเหล้าบุหรี่นี่ จะขายก็เอาอย่างนี้ ตรงไปตรงมาดี กูชอบ, แต่ก็มีบางคนบอกไม่เห็นด้วยนะ กูเคยคุยกับเด็ก american พวกมันมองว่า อย่างนั้นรัฐมีแต่เสีย เพราะเหมือนเป็นการสนับสนุนให้คนทำลายสุขภาพตัวเอง แล้วในประเทศแบบมัน มันดูแลเรื่องแบบนี้ด้วยไง คือรัฐทั้งเสียงบประมาณค่าทำที่ให้ดูด แล้วพอมึงดูดเป็นมะเร็ง รัฐก็ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลให้มันอีก มันก็เลยเถียงกันไม่รู้จบ แต่กูเถียงไม่ออกนะ ตรงจุดนี้ มันมีเหตุผล, อ่าว บุหรี่กูหมดแล้วว่ะ เดี๋ยวมา, เปลี่ยนที่กันเถอะ ร้านแม่งจะปิดแล้วว่ะ แม่งเก็บโต๊ะแล้ว นั่งไปก่อนแล้วกัน มาไล่แล้วค่อยไป นี่มันร้านของคณะเราชัดๆ มีแต่เด็กที่คณะ ห่าแม่งนั่งตรงนี้เหมือนศาลพระภูมิเลย เหี่ยมาไหว้กันจัง เดินผ่านก็ไหว้ เออก็ดีนะ อย่างน้อยเราก็ดูเหมือนจะมีตัวตนอยู่บ้าง, ทำไมมันไม่มีร้านที่แม่งเปิด 24 ชั่วโมงเยอะๆบ้างว่ะ ห่าเท่าที่กูรู้แม่งก็ร้าน McDonnell ที่สีลมที่เดียวเอง พวกแม่งไม่รู้หรือยังไงว่ะ ว่าเด็กมันไม่มีที่ไป แล้วก็ไปโทษเด็กว่าชอบไปเที่ยว pub bar ห่าอะไรนั้น เพราะพวกมันไม่มีที่ไปไง พวกเราแม่งยังวัยรุ่นกันอยู่เลย, พลังงานมันเยอะ ไม่มีใครอยากอยู่บ้านหรอก, เออ มีน่ะมันมี แต่โดยทั่วไปแล้วไง มันกลุ่มใหญ่ ที่สาธารณะเองก็ไม่ใช่ทางเลือก เพราะแม่งมีแต่ต้นไม้โชว์เหี้ยอะไรก็ไม่รู้ ได้แต่บังแดด มันไม่มีกิจกรรมรองรับไง เด็กก็ไม่ไป กลายเป็นที่คนแก่มายืดที่ออกกำลังกายอย่างเดียว, แล้วแม่งยังมีกฏมากมาย ห่า ที่สาธารณะทำอะไรได้บ้างว่ะ จักรยานก็เอาเข้าไปไม่ได้ ทำอาหารไปก็ไม่ได้ สัตว์เลี้ยงก็ไม่ได้ มันมากเกินไป, ถ้าที่สาธารณะยังไม่ได้ ที่ไหนแม่งจะได้ว่ะ ที่ส่วนตัวกูว่ากฏยังเยอะเข้าไปใหญ่, แยกให้ออกนะ ห้างไม่ได้เป็นที่สาธารณะน่ะ มันส่วนตัว แค่มันยอมให้เราเข้าไป มันจะไล่เราออกมาก็ได้ ไม่ผิดด้วย, กูว่า Thesis กูจะทำเรื่องนี้ กูสนใจ มันมีพวกทฤษฏีเกี่ยวกับ Third place ที่แบบระหว่างบ้านกับที่ทำงาน น่าสนใจดี แม่งก็สภากาแฟดีๆนี่เอง, Starbuck แม่งเอาไปทำแล้ว แต่แม่งก็เอาไปตอบโจทย์ทางการค้า คนไม่มีเงินมันใช้ไม่ได้ ไม่ mass พอ, ครับๆไปแล้วครับ ช่วยยกโต๊ะไหม

พี่ไปสีลมครับ มึงนั่งหลังกับมันแล้วกัน, ห่า ก็หาอะไรคุยกับมับ้างสิว่ะ มัวแต่อ่ำอึ้งกันอยู่ได้ กูรำคาญ, เออ กูรู้ว่าแม่งไม่ยอมเปิดใจ แต่ก็พยายามหน่อยแล้วกัน เสือกชอบเพื่อนกลุ่มเดียวกันเอง เหี้ยเดี๋ยวก็เสียมันไปหรอก ตอนนี้มันก็เริ่มจะห่างๆเราไปแล้วนะ แม่งโลกส่วนตัวเยอะ เก็บไว้เยอะ มาจากโรงเรียนชายล้วนก็งี้แหละ กูก็เป็น อย่าคิดมาก มันแสดงออกกับเพศตรงข้ามไม่ค่อยเป็น กูไม่อยากเสียมันไป

กูเอาชุดซามูไร สั่งให้ด้วย เดี๋ยวกูมา ปวดฉี่ นั้งตรงนั้นแล้วกัน, สรุปเรื่อง cheer ที่คณะเอายังไงดีว่ะ อยากให้ปี 1 แม่งรู้อะไร, เออ เห็นด้วยว่ะ กูไม่คิดว่าเด็กมันจะสามารถรับสารที่เราอยากจะบอกได้ 100% อยู่แล้ว 5% กูก็พอใจแล้ว เรามีเวลาแค่เดือนเดียวเอง อาทิตย์ละสองครั้ง มันจะอะไรมากมายว่ะ เอาแบบเรื่องเดี๋ยวประเด็นเดียวไปเลย มันจะได้ง่ายที่สุดแล้วก็มีเปอร์เซ็นเยอะหน่อย, เออ เรื่องนี้ก็ดีนะ มึงว่าไง, ให้มันรู้จักตัวเอง, แต่แม่งเรื่องใหญ่นะ เราอาจจะต้องแบ่งไปเป็นส่วนๆจากเล็กไปใหญ่ กูคิดว่านะ, ก็นี่ไง รู้จักตัวเอง คนอื่น แล้วก็คณะ, กูว่าให้แม่งแบบใช้เวลากับส่วนแรกเยอะหน่อย มันเข้าใจยาก ให้มันยอมรับตัวเอง กล้าแสดงออก ก็โอเคนะ, นี่เราจะไม่ปรึกษาเพื่อนๆเราหน่อยหรือ คิดกันแค่สามคนนี้ เดี๋ยวมันจะหาว่าเราไปบังคับบงการมัน, เห็นด้วย แต่ก็ เออถูกของมึง คนมากเรื่องเยอะ จับประเด็นห่าอะไรไม่ได้เลย กว่าจะได้แต่ละที แม่งงี่เง่ากันมากเลยว่ะ, มึงว่าท่าทีกับคำพูดของ staff แม่งสำคัญหรือเปล่าว่ะ กูกำลังคิดว่ามันมีผลในระยะยาวเลยนะ ยิ่งปีแรกที่มันเข้ามา มันรับทุกอย่างหมดเลย ดูอย่างเราสิ มึงจำได้มั้ย ที่พี่แม่งมาบอกว่า ทำงานแบบลวกๆไปเถอะ เดี๋ยวก็ผ่าน ทำเอาวันสุดท้าย, กูว่าแม่งเป็นการสร้างทัศนคติที่แม่งฝังรากเลย, แล้วแม่งยังมีอีกมากมายที่เราเป็นกันอยู่อย่างนี้ ระบบ cheer ที่ไม่ได้คำนึง จะทำให้เราปลูกสิ่งที่มันเป็นเชื้อร้ายต่อกันไปเรื่อยๆ, กูว่ามันน่าจะมีบทที่ตายตัวอยู่บ้างน่ะ แต่ไม่ทั้งหมด, แล้วค่อยมาต่อเหอะ ง่วงแล้ว

สวัสดีครับอาจารย์ นี่ครับลองดูก็แล้วกันว่าเป็นไง, อืม ใช่ คือหลักการคืออย่างนั้น แต่ผมว่า form มันยังไม่สวย, ครับไว้ก่อนก็ได้, เมื่อวานพึ่งไปเจอกันแถวๆหอพักเอง คุยกันยาวเลย แล้วก็ไปต่อที่ McDonnell ที่สีลมถึงตีสาม, ก็คุยเรื่องทั่วไปแล้วก็ cheer ด้วย เออ ผมใส่ชื่อพี่เข้าไปใน proposal นะ เป็นที่ปรึกษา แล้วไงเดี๋ยวผมจะนัดพวกมันมาคุยด้วยกันกับพี่อีกที เดี๋ยวโทรบอก งั้นเจอกันที่เดิมนะครับ

ไง เออ พี่แกมายังว่ะ, สงสัยขอสองแน่นอน สองทุ่ม, ทุกทีแหละ ทำไมไม่นั่งข้างนอกกันว่ะ กูจะดูดบุหรี่, เออ ข้างในก็ได้ เดี๋ยวกูอยากเดี๋ยวออกไปเอง, เหมือนเดิมนะครับ สามสิบห้าใช่เปล่า, เบื่อๆว่ะมั้ยช่วงนี้ วุ่นวาย คิดเยอะเกินเหตุ คนอื่นแม่งมองว่าเราเป็นพวกเด็กเรียนหมดแล้ว อยู่แต่กับอาจารย์, ช่างแม่งเหอะ ไม่ได้เครียดอะไร แม่งก็ปกติดี คนอื่นต่างหากที่แม่งคุยแบบนี้ไม่ได้ หรือไม่ชอบคุย ก็เลยว่าเราเป็นพวกซีเรียสไป กูไม่ค่อยสน แต่พอมีห่าอะไร ก็มาถามเราทุกที ไม่กล้าตัดสินใจ, ไม่ยอมโตกันบ้างว่ะ, เออ กูอาจจะเกินไปนะบางที แต่เรื่องแบบนี้มัน เออ อ่า มึงดูดิ แม่งเหมือนเด็กเลย งอแง แล้วก็ปัดความรับผิดชอบ มันเคยตัวไง พอเด็กแม่งทำอะไรผิด พวกผู้ใหญ่ก็บอกว่ามันยังเด็กอยู่ หมายความว่าไงว่ะ หมายความว่า แม่งไม่ต้องรับผิดชอบไง, เออ ถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่าไม่ต้องรับผิดชอบ, ไม่เป็นไรครั้งแรก ไม่เป็นไรไม่กี่ครั้งเอง ไม่เป็นไรเป็นผู้หญิง ไม่เป็นไรห่าอะไรว่ะ มันเป็น แค่มึงต้องรับผิดชอบ ไม่ได้หมายความว่าผิดไม่ได้นะ แต่ผิดแล้วต้องรับผิดชอบ ต้องรู้ผลที่จะตามมา แล้วยอมรับผลของการกระทำของมึงเองได้ด้วย ไม่ว่าจะอย่างไร, ซีเรียสอีกแล้ว, กูคุยแบบนี้ได้แค่กับพวกมึงเท่านั้น การที่เราจะหาใครคุยเรื่องที่คุยกันได้แม่งยากเนอะ ว่ามั้ย แล้วพอมึงคุยได้น่ะ แม่งคุยใหญ่เลย สุดท้ายไม่มีเรื่องจะคุยไง ได้แต่มานั้งจ้องตากัน กัดเล็บ ดูเท้าตัวเอง แล้วก็กลับบ้านอย่างสบายใจอย่างบอกไม่ถูก กูคิดว่าพวกเราจะเป็นอย่างนั้นในอีกไม่ช้านี้, กูคงชอบ moment นั้นที่สุดนะ แค่เดานะ, กูมีเพื่อนเก่าตอนมัทธยมอยู่คนสองคนที่เป็นแบบนี้แล้ว โครตจะชอบเลย ไปไหนไปกัน แค่มาเจอกันก็พอ ที่ไหนก็ได้ กูเห็นหน้ามึงคุยสองสามคำ นั่งไปซักสองสามชั่วโมงกลับกูพอใจแล้ว, อ่อ เหรอ แล้วมึงไม่ไปเหรอ อยู่สตูดิโอเดียวกัน, ไปทั้งหมดเลย ห่าแล้วไม่ไปว่ะ น่าสนุกดี, อืม เห็นด้วยอย่างแรง แม่งบ้า มันจะเอาอะไรกันนักหนา นานๆได้ไปด้วยกันทีเนอะว่ามั้ย เมากันหัวราน้ำ, กูไม่ชอบเลยมาเจอกัน ชวนไปแดกเหล้าแล้วเมาจำไม่ได้ เจอกันทำไม ไม่มีเหตุผล เหี้ย กินแบบกระชับมิตรไม่เป็นหรือยังไงว่ะ พวกเด็กมหาวิทยลัยเนี่ย เป็นทุกที่เลย หรือว่ามันเก็บกดที่ผ่านๆมา น่าจะใช่, ไม่หรอก กูว่านะ พวกแม่งใช้ชีวิตกันไม่เป็นซะมากกว่า ใช่ส่วนหนึ่งมันมาจากสังคมที่อยู่รอบตัวเรา กดเราไว้ แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางออก กูมองว่างั้น หรือมึงว่าไง, แม่งคิดกันไม่เป็นด้วยไง แต่ก็อย่างว่า สอนให้คนคิดเป็นเองได้ กูว่ายากที่สุดแล้ว ในขบวนการทั้งหมด ถ้าแม่งได้ตรงจุดนี้น่ะ สบาย คือมันไม่ได้ติดกับไอ้สูตรที่แม่งตายตัว ซึ่งเอาเข้าจริงๆแล้ว แม่งก็ไม่ได้ตายตัวซักหน่อย ใครไปบอกมันว่ะ ไอ้พวกทฤษฏีแม่งก็แค่คำอธิบายปรากฏการต่างๆที่มันเกิดขึ้นเท่านั้นเองในตอนนั้น แม่งเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา คลั่งกันเกินไป มึงดูอย่างพวกทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์สิ แม่งเปลี่ยนตลอด พวกประวัติศาสตร์แม่งก็เหมือนกัน เพราะมันไม่เชื่อไง เลยต้องหาวิธีอื่น พวกคอมมิวนิสต์ ประชาธิปไตย ทั้งหมดก็แค่คำอธิบาย เราแค่ต้องรู้แล้วเข้าใจมันก็พอ แล้วเลือกไป เหลียวหลังซะหน่อยบางครั้ง โลกของโซฟีเลย อ่านยัง, อ่าวเหรอ ไม่มาแล้ว อะไรว่ะ แกคงเหนื่อย ช่างเหอะ, คืนนี้ไปเยาวราชกันเปล่า หาอะไรกินกัน, พรุ่งนี้มีเตะบอลเหรอ มึงเล่นเปล่า, อ่อ เออ กูไม่ดูมึงนะ ขี้เกียจ กูอาจไปรอมึงที่ห้องสมุด เสร็จแล้วก็ไปหาแล้วกัน กูคงอยู่กับมันแหละ ไม่ก็ตรวจงานกับอาจารย์อยู่ กูจะขอสองแกบ้าง

เสียงในความทรงจำ - วรพจน์ พันธ์พงศ์

ความในตอนหนึ่งในหนังสือ
ปรัชญาชีวิตและความรัก ศักดิ์สิริ มีสมสืบ พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร GM กุมภาพันธ์ 2545

----
คนเรามักจะต้องการพ้นทุกข์ หากันอยู่นั้นแหละ
เจอหนังสือเซนเล่มหนึ่ง เขาบอกว่า

หน้าต่างที่มีกระจก มันมีคราบฝุ่น ก็เช็ดกันอยู่นั้น
เดี๋ยวมันก็มีอีก เช็ดมันอยู่นั้นแหละ
ก็เอากระจกออกสิ ก็ไม่ต้องเช็ดแล้ว

ประมานนี้นะ ไม่เป๊ะ แต่ก็นี่แหละ

Monday, September 22, 2008

time to pretend: MGMT


I'm feeling rough, I'm feeling raw, I'm in the prime of my life.
Let's make some music, make some money, find some models for wives.
I'll move to Paris, shoot some heroin, and fuck with the stars.
You man the island and the cocaine and the elegant cars.

This is our decision, to live fast and die young.
We've got the vision, now let's have some fun.
Yeah, it's overwhelming, but what else can we do.
Get jobs in offices, and wake up for the morning commute.

Forget about our mothers and our friends
We're fated to pretend
To pretend
We're fated to pretend
To pretend

I'll miss the playgrounds and the animals and digging up worms
I'll miss the comfort of my mother and the weight of the world
I'll miss my sister, miss my father, miss my dog and my home
Yeah, I'll miss the boredom and the freedom and the time spent alone.

There's really nothing, nothing we can do
Love must be forgotten, life can always start up anew.
The models will have children, we'll get a divorce
We'll find some more models, everything must run it's course.

We'll choke on our vomit and that will be the end
We were fated to pretend
To pretend
We're fated to pretend
To pretend

อันนี้เป็นเนื้อเพลง อันนี้เป็น เพลงจริง ลองเข้าไปฟังดู
  http://www.myspace.com/mgmt 

ฟังแล้วอยากเกิดเป็นผู้ชาย เซง อันนี้ส่วนตัว หิหิ

Wednesday, September 10, 2008

เอ่อ..

same same
but
different

...........

my book

ตอนนี้กำลังเขียนหนังสืออยู่
อยากลองดูบ้าง
กะว่าจะส่งไปสำนักพิมพ์ดู ถ้าเค้าให้พิมพ์อ่านะ

Tuesday, September 9, 2008

Japanization

From my experiences, Japan is a nice organizer of the world.
Everything is on the rule or/and regulation.
People also nice because of rule but moreover, the rule also be
the nature of the nation. Unbelievable, urban, people and activities
in the city merge together nicely. How can they do like that?

Land use is the most popular talk in the globalization.
Some people sad "Thailand has many layers"
but I will say "Thailand has many physical layers"
but "Japan has many mentality and physical layers"

The land use of Japan is organized well such as the underneath of
express way or/and sky railway. They use the land to do something 
such as commercial for motivate the city could be. Also it is a
security for people to walk through the road. And how about Thailand?
We just have a homeless there. I do not hate them but we can do more
organize. 

Finally, I do get many thing from this trip. I also see many different culture
and thing there, that make my eyes open wider.
 

       

Friday, August 22, 2008

รถไฟฟ้า ณ ช่วงเวลา แปดโมง

อะไรที่มันรีบๆ

มันก็ไม่ค่อยรับรู้ได้ถึงความรู้สึกลึกๆ มากเท่าไหร่หรอก

ณ รถไฟฟ้า

ยานพาหนะที่มีความเสมอต้นเสมอปลายในเรื่องเวลา

คนขึ้นก็ต้องเสมอต้นเสมอปลายไปด้วย

เสมอต้นเสมอปลายขนาดที่ว่า

ไปขึ้นตอนเช้า เจอ คนๆนึง

ตอนเย็น ก็ยังเจอคน ๆ นั้น

โอ้ว

ทุกคน ผู้คนที่เคยมีชีวิต

แต่พอ ก้าวข้ามเข้าไปในขบวนรถไฟ

และเมื่อสิ้นเสียง ตู๊ดๆๆ

รอยยิ้ม เสียงพูดคุย ความเป็นธรรมชาติของเหล่ามนุษย์

ก็ได้หายไป และ หายไป

จาก พื้นที่ ว่างเปล่า

แน่นขนัดไปด้วย คนทำงาน และ คนทำงาน

และก็คนทำงาน

จะเกิดอะไรขึ้นถ้า

คนที่นั่งข้างเรา

หันมาพูดก่ะเราว่า เธอๆ เบื่อมะ

เธอๆ อยากกลับบ้านมะ

เธอๆ ฟังเพลงไรอยู่อ่ะ

เธอๆ ฟังเพลงที่เราฟังอยู่เปล่า เพราะดีนะ

เธอๆ ช่วยปิด ทีวี โฆษณา นี้ได้มะ เราอยากฟังเพลงที่เราฟังอยู่อ่ะ

เธอๆ.........

เราจะคุยก่ะเค้า ที่หันมาทักทายเรามะ

เราจะยิ้มให้เค้ามะ

เราจะรำคาญเค้ามะ

เราจะคิดว่าเค้าทำงานจนเสียสติไปแล้วมะ

..................

เพียงแค่ขึ้นรถไฟฟ้า ในตอนเช้าหนึ่งวันก็.......

ตัดสินใจละ ไม่ขึ้นทุกวันดีกว่า

ทางเลือกมีมากมาย

ชีวิตเรา เราก็เลือกได้หนิ

ใช่มะ

Saturday, August 9, 2008

ก่อนที่จะไปทำงานจริงๆซะที

ช่วงที่ว่างมาพักใหญ่ๆ ก็คือประมาณเดือนกว่าๆ
ในที่สุด ก็ได้งานทำ
และคิดว่าน่าจะเป็นอะไรที่จริงจังมากกว่าครั้งแรก
ที่รับเข้าไปยังไม่ถึงสองเดือนเต็ม
ก็ให้ออกซะงั้น!!

ช่วงที่ว่าง
ก็มีนู่น นี่ นั่น ให้ทำบ้าง พอมีตังเลี้ยงชีพ โดยที่ไม่ขอตังจากทางบ้านไป
ระหว่างที่ไม่ได้ทำงาน ก็ เที่ยวเล่น ประปราย
และระหว่างที่ไม่ได้เที่ยวเล่นประปราย
ก็อยู่บ้าน อยู่ที่ห้อง น้องจะทำอะไร ก็ไม่พ้น

เล่นอินเตอร์เน็ท เสิดกันเข้าไป นึกอะไรได้ก็เสิดกันเข้าไป
อ่านหนังสือ ไปรู้ว่าอันไหนดี ก็ซื้อ อันไหนชอบเองก็ซื้อ
ฟังเพลง ไปได้ฟังจากที่ไหนมาแล้วชอบก็ฟังกันไปเป็นช่วงๆ
ดูทีวี มันมีประจำบ้าน ก็ดูๆไป ไร้สาระก็ดูๆไป เอเอฟ ละคร ข่าว และอื่นๆ
ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ

จน ได้ค้นพบข้อสงสัยบางอย่างที่เกิดขึ้นในใจ
เรารับสื่อกันได้มากมายขนาดนี้เลยเหรอ
ในวันๆนึง

ทีวี เนื้อหาในทีวี แล้วแต่ละช่อง
หนังสือพิมพ์ เนื้อหาในแต่ละช่องข่าว มีกี่หน้าก็แล้วแต่ฉบับ
อินเตอร์เน็ต นี่ตัวดี เยอะแยะวุ่นวายมาก อยากรู้ว่า ตอนนี้ทั่วโลก มันมีเว็บไซต์กันทั้งหมดกี่เว็บไซต์วะ
อยากรู้จริงๆ
เพลง อีก หนังอีก

เห้ย นี่คือแบบเพิ่งมาได้สังเกตุเห็นจริง เนื่องจากความว่างนี่แหล่ะ
แบบ มันประโคมกันเข้ามาสุดๆ
เคยวันนึงแบบว่า รับหมดเลย
ปวดหัวมาก ต้องหยุด และ นั่งอยู่เฉยๆ แบบว่า
ไม่เอาละ ไม่คิดละ จะอ๊วกและกรู

มันเยอะแบบ คนเรามันต้องการอะไรกันขนาดนี้เลยหรือนี่
แล้วพอรับเข้าไปแล้วนะ
บางทีก็ รู้สึกว่า มันก็เหมือนๆกันนะ

และอีกความรู้สึกคือ กรูย่อยไม่ทันแล้ววว

อะไรของพวกมึงกันนี่!!!!

ย่อยไม่ทันจริงๆ แบบเห้ย ความรู้อันนี้ที่ได้มา จะเอาไปทำไรดีวะ
เอาไปใช้ยังไงดีนะ เอาไปใช้ก่ะใครดีนะ
เอาไปทำเวลาไหนดีนะ
ใช้แล้วต้องยังไงต่อนะ
ต้องบอกใครต่อมั๊ย

เอ๊ะ! ยังไงนะ

หรือก็อ่านๆไป
เป็นความรู้ประดับตัวเอง
เอาไว้พูดคุยในวงสนทนา ในวงสังคม
Blah blah blah ก็ว่ากันไป

.......................................

รับรู้แล้วก็แบบว่า

คนเรานะคนเรา

เวลาเห็นคนเยอะแล้วอยากฆ่าตัวตาย

รู้สึกเป็น ส่วนเกิน ไม่อยากอยู่ให้เปลืองสสารบนโลกใบนี้เลย

แต่ก็ เป็นแค่อารมณ์ ณ ตอนนั้น ตอนที่เห็น แล้วก็ผ่านไป ที่ภาษาธรรมมะเรียกว่า ผัสสะ

ไม่รู้ว่า คริสต์ จะมีรึเปล่านะ

......................

ก็เป็นข้อสังเกตุจากที่ตัวเองว่างมานาน

นอกจากที่พูดมาก็ยังมีอีกเยอะแยะนะ

เวลาว่างเนี่ย มันช่างทำให้เราได้สังเกตุเห็นอะไนได้เยอะจริงๆเลย

^^

I like the empty!!!!

Wednesday, August 6, 2008

ราโชมอน

เมื่อคืนอ่านราโชมอนและเรื่อสั้นอื่นๆจบแล้ว
สนุกหว่ะ อ่าน แบบสองวันจบ เป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจมากเลย
เรื่องแบบชวนอ่านต่อไปเรื่อยๆ
มีอารมณ์ร่วมด้วยนะ เรื่อง ฉากนรก
น่าอ่านมาก เดี๋ยวว่าจะเอาอีกซักรอบ

ปล. ถึงน้อง
กูซื้อ serie ของหนังสือชุดนี้มาครบ 3 เล่มและ
หรือมีมากกว่านั้นว่ะ ?

Sunday, August 3, 2008

goooooood! reward

หลังจากที่เป็นสมาชิก DTAC มาได้ สองปี

เค้าก็มีการสนอง สัมนาคุณ ต่อลูกค้า

โดนการบอกว่าเราเป็น ลูกค้าชั้น gooooood reward

คือไปหยิบเอา แผ่นพับ มันมาอ่านเล่นดู

เห็นไรบางอย่าง

จะเอามาพิมพ์ให้อ่านกัน

เค้าพูดถึงเรื่องเพื่อนเอาไว้ เห็นว่า น่ารักดี

เริ่มเลยดีกว่า

"The road to a friend's home is never long"
หนทางไปสู่บ้านของเพื่อนนั้น ไม่เคยเกินไปหรอก

"walking with a friend in the dark is better than walking along in the light"
การได้เดินทางร่วมกับสหายในความมืดมิด
ยังดีเสียกว่าการเดินลำพังในแสงสว่าง
Helen Keller

"True friendship come when the silence between two people is comfortable"
มิตรภาพที่แท้จริง จะปรากฏ เมื่อความเงียบระหว่างคนสองคนกลายเป็นความสบายใจ

"Talking with a friend is nothing else but thinking aloud"
การพูดคุยกับเพื่อนนั้นก็คือการที่เราคิดออกมาดังๆนั่นแหล่ะ
Joseph Addison

"The best kind of friend is the one you could sit on a porch
with, never saying a word, and walk away feeling like that was the best
conversation you've had."
เพื่อนที่ดีที่สุดนั้นคือ คนที่คุณสามารถนั่งข้างๆ
บนชานบ้าน โดยปราศจากคำพูด และเมื่อเขาเดินจากไป
คุณก็รู้สึกได้ว่านั้นเป็น บทสนทนาที่ดีที่สุดเท่าที่คุณเคยมีมา

......................

ปล. เมลที่ส่งไปให้โจ้ ก่ะ นัท
ไม่มีไร ไม่ต้องคิดไรมาก
แค่อยากบอก
ขึ้เกียจ หลอกตัวเอง แค่นั้น เบื่อ

Untitle

รู้สึกมะว่า

เหมือนไม่มีอะไรจะพูด จะคุย

*_*

Sunday, July 27, 2008

Bartleby, the Scrivener: A Story of Wall-Street

เพิ่งอ่านหนังสือเล่มนี้จบมาหมาด

Bartleby, the Scrivener: A Story of Wall-Street By Herman Melville
พัจนภา เปี่ยมศิลปกุลชร แปล ปราบดา หยุ่น บทกล่าวตาม

อยากจะเอามาเล่าให้ฟัง

เป็นหนังสือชุด วรรณกรรมในวงเล็บ 01 (02 คือเรื่องของ Samuel Beckett เรื่องที่เราเอาปกหลังของหนังสือเล่มนี้มาเป็น หัวข้อแรกของ blog นี้ไง แต่ยังอ่านไม่จบอันนั้น มีความมึนนิดหน่อย)

ต่อๆ ก็อ่านเล่มนี้จบก่อนเพราะอินไปก่ะเรื่องด้วยมั้ง

ประโยคทีเด็ดสำหรับเราคือ

"การทำสิ่งนั้นมันเป็นการกักขังเกินไป ไม่ครับ ผมไม่ต้องการเป็นเสมียน แต่ผมก็ไม่ได้เจาะจงอะไร"

อยากรู้มากกว่านั้นให้ลองเข้าไปอ่านย่อๆในเว็บลิ๊งค์นี้
http://www.faylicity.com/book/book1/scrive.html

สำหรับเรา

เราก็ไม่รู้ว่า การที่ตอนจบของ Bartleby มันเป็นแบบนั้น มันสมควรหรือไม่สมควร

แต่พอมองกลับมาที่ปัจจุบัน ที่ตัวเองแล้ว

การที่เราต้องทำงานอะไรอย่างเดียว มัน ใช่,สมควร,จริง (ไม่รู้จะใช้คำไหนดี) แล้วเหรอ

กับการที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ที่สามารถเรียนรู้อะไรได้หลายอย่าง

หรือแบบที่เค้าบอกว่า การที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก มันก็เหมือนกับการไม่ได้ใช้คำว่าทำงาน

แต่ก็มีไม่กี่คนที่จะหา งานที่ตัวเองรัก ที่อยากทำได้จริงๆ

เหมือนกับตอนนี้ ที่เราต้องทำงาน ต้องถูกกักขัง ด้วยความรู้ที่เราเรียนมา

มันก็ตอบยากเหมือนกันนะ ว่างานแบบไหนที่เราชอบและอยากทำโดยที่มีความเบื่อน้อยที่สุด

งานถึงแม้จะต้องบ่นซักแค่ไหน ต้องวุ่นวายกับมันแค่ไหน

เราก็ยังรักที่จะทำมันอยู่ดี

สำหรับเรา ขอให้ได้ทำงาน อะไรก้ได้ที่มันยังได้คิด ได้ออกแบบ

ได้มีความรู้ใหม่ๆ แต่ถามว่าอยากเป็น interior designer มั๊ยก็ตอบไม่ได้ว่ะ

เพราะ "การทำสิ่งนั้นมันเป็นการกักขังเกินไป ไม่ครับ ผมไม่ต้องการเป็นเสมียน แต่ผมก็ไม่ได้เจาะจงอะไร"

...................................................

Tuesday, July 22, 2008

nonghp

จะมาบอกว่า

อ่าน harry potter เล่ม ห้าจบแล้ว

เย่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ และแล้วความพยายามที่หวังไว้

ก็ทำได้ในที่สุด

สนุกมากกกกกกกกกก อยากอ่านเล่มหกแล้ว

ยังไม่ได้ซื้อเลย

อยากจะดูหนัง ภาค ห้าอีกรอบ

น้องทำได้แล้ว

หลังจากที่ใช้ความพยายามอยู่นานมาก

เห้อ รู้สึกปลดปล่อย รู้สึก ว่า nonghp จะกลับมาแล้ว

อ่านแล้ว เกิดจินตนาการสูงสุด ความรู้สึกที่เคยชอบมากๆ จนเอามาตั้งเป็นชื่อ nonghp

ก็กลับมา ดีใจสุดๆ รัก harry potter สุดๆ 555++

อยากจะมีชีวิตแบบ harry potter อยากมีเวทมนต์

อยากเข้าไปในป่าต้องห้าม

อยากทะลุทะลวงมิติผ่าน ตู้โทรศัพท์

อยาก ใช้ไม้กายสิทธิ์ หมุนๆๆๆ แล้วก็พูด เวทมนต์ต่างๆ ได้บ้าง

อยากเห็นสัตว์วิเศษ

อยากขี่บัคบีท บ้าง

อยากนั่งรถไฟไปฮอกวอทต์ บ้าง

อยากมีเพื่อนแบบ ลูน่า เลิฟกู๊ด

อยากจะไปเที่ยว ฮอกมี๊ต

อยากไปร้านที่ เฟร็ด ก่ะ จอร์จ เปิดขึ้นมา

อยากได้จดหมายกัมปนาทบ้าง คงสนุกดี

อยากนั่งรถบินได้

อยากทะลุทะลวง กำแพงไปสถานนีรถไฟ เลขที่ เก้า เศษ สามส่วน สี่

อยากเรียน ที่โรงเรียนฮอกวอทต์

ไม่ไหวแล้ว จินตนาการเลยเถิดมากมาย

อยากเข้าไปในโลกวิเศษ

ฟิ๊วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

the pursuit of happiness

เมื่อคืนดูหนังเรื่อง the pursuit of happyness
มีอยู่ตอนเพระเอกบอกว่า thomas jefferson รู้ได้ไงว่า ความสุขต้องไล่ลา
เค้ารู้ได้ไงว่า เราครอบครองมันไม่ได้

น่าสนใจดี แล้วเราเห็นด้วยหว่ะ มันไม่อยู่กับเรานาน
เราต้องไขว่คว้า ไล่ล่ามันตลอด
ตอนนี้ ชีวิตกูแม่งคล้ายยังงั้นหว่ะ
คงหาอะไรบางอย่างอยู่ พอได้แล้วแม่งก็หายไปอีก

ทำอะไรอยู่ว่ะ

เราอยากรู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่
อยากทำให้ได้

ข้างล่างนี้คือที่ Jefferson เขียนเอาไว้


Declaration of Independence, Thomas Jefferson wrote:

We hold these truths to be sacred & undeniable; that all men are created equal & independent, that from that equal creation they derive rights inherent & inalienable, among which are the preservation of life, & liberty, & the pursuit of happiness; that to secure these ends, governments are instituted among men, deriving their just powers from the consent of the governed; that whenever any form of government shall become destructive of these ends, it is the right of the people to alter or to abolish it, & to institute new government, laying its foundation on such principles & organizing its powers in such form, as to them shall seem most likely to effect their safety & happiness.


reference:
http://en.wikipedia.org/wiki/Thomas_Jefferson

Sunday, July 20, 2008

our group

http://groups.google.com/group/whiteempty

Saturday, July 19, 2008

ชอบสอน

รู้สึกมาตั้งนานและ ว่าตัวเองชอบสอนคนอื่น
รู้สึกดีที่ได้เล่าอะไรที่เรารู้ ส่งต่อไปยังคนอื่นอีก
เหมือนตัวเองได้ทำประโยชน์อะไรบางอย่าง
แล้วถ้าเค้าชอบหรือเข้าใจในสิ่งที่เราบอกไป
จะดีใจมากๆเลย เพราะ มันเกิดผลแล้ว

เมื่อวานทำงาน เปิดเพลงเก่าฝรั่ง
เจ้านายร้องตามได้ เค้าชอบ เราก็ดีใจ
แล้วก็คุยเรื่องเก่าๆกันตอนเค้ายังหนุ่มๆ
รู้สึกดีหว่ะ

Thursday, July 17, 2008

ประวัติย่อของเกือบทุกสิ่ง จากจักรวาลถึงเซลล์ Part I

บทความนี้อ้างอิงจากหนังสือชื่อ ประวัติย่อของเกือบทุกสิ่ง จากจักรวาลถึงเซลล์
A Short History of Nearly Everything by Bill Bryson

*** หมายเหตุ
เนื่องจากเนื้อความจะถูกยกมาเป็นส่วนมากแล้ว
ยังจะมีส่วนที่เป็นความเห็นของผมเองด้วย
ซึ่งจะใช้สัญลักษณ์ --- XXXXXXX ---

--- เริ่มเลย ---
--- เมื่อวิทยาศาสตร์เจอกับพระเจ้า ---

นักฟิสิกส์ ลีโอ ซิลาร์ด บอกเพื่อนของเขา ฮันส์ เบธ ว่าเขาคิดจะเขียนบันทึกประจำวันขึ้นมาสักเล่มหนึ่ง
“เราไม่ได้ตั้งใจจะตีพิมพ์มันหรอก เพียงแต่อยากบันทึกความจริงไว้เป็นข้อมูลแด่พระเจ้า”
“นายไม่คิดว่าพระเจ้ารู้ความจริงในทุกสรรพสิ่งต่างๆอยู่แล้วเหรอ?” เบธสงสัย “ก็ใช่”
ซิลาร์ดตอบ “พระองค์รู้ แต่พระองค์ไม่รู้ความจริงแบบที่เราจะเขียนนี่หรอกหว่ะ!”

ฮันส์ คริสเตียน ฟอน เบเยอร์
(Hans Christian von Baeyer), Taming the Atom


การสร้างจักรวาลตามทฤษฏีบิ๊กแบง
คุณจะต้องรวบรวมเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ ทุกๆอนุภาคที่เหลืออยู่และทุกๆสสารตั้งแต่ที่นี่จนถึงสุดขอบของการสร้างภพ
เอามาบีบไว้ในจุดขนาดเล็กจิ๋วจนแทบไม่เหลือมิติใดๆเลย นี่คือจุดที่มีเชื่อเรียกว่า ซิงกูลาริตี (Singularity)
คุณต้องเตรียมการระเบิดครั้งใหญ่ไว้ด้วย โดยธรรมชาติแล้วคุณคงอยากหนีไปสังเกตการณ์ในที่ปลอดภัย แต่โชคไม่ดีครับ
เพราะไม่มีที่ไหนให้หนีอีกแล้ว นอกจากจุด Singularity นั้นไม่มีที่ไหนเหลืออยู่อีก เมื่อจักวาลขยยายตัว
มันไม่ได้ไปกินที่ว่างเปล่าที่ใหญ่กว่านะครับ เพราะที่ว่างเดียวที่ดำรงอยู่ ก็คือที่ที่เกิดขึ้นขณะที่จักรวาลขยายตัวนั้นเอง

ไม่มีหรอกครับอวกาศ ไม่มีความมืดด้วย Singularity ไม่มีอะไรมาล้อมรอบมันอยู่ ไม่มีพื้นที่อวกาศให้มันเข้าครอบครอง
ไม่มีสถานที่ให้มันอยู่ เราถามไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่า จุดที่ว่านี้อยู่ที่นั้นมานานแค่ไหนแล้ว สงสัยไม่ได้ด้วยว่าจู่ๆ มันก็โผล่ขึ้นมาเหมือนไอเดียเจ๋งๆ
หรืออย่างไร หรือว่ามันมีอยู่มาชั่วนิรันดร์ก่อนหน้า แล้วรอเวลาอันควร เพราะเวลาก็ไม่ได้ดำรงอยู่จึงไม่มีอดีตให้มันผุดขึ้นมา

สิ่งมหัศจรรย์ในมุมมองของเราก็คือ จักรวาลช่างเหมาะเจาะกับเราเสียเหลือเกิน ถ้าจักรวาลก่อกำเนิดขึ้นมาผิดไปจากนี้นิดเดียว
ถ้าแรงโน้มถ่วงมากหรือน้อยกว่านี้เพียงนิด ถ้าอัตราการขยายตัวเคลื่อนไปช้าหรือเร็วกว่านี้อีกหน่อย ก็ไม่อาจเกิดธาตุที่สร้างตัวคุณกับตัวผม
และแผ่นดินที่เรายืนอยู่ได้ หากแรงโน้มถ่วงมากกว่านี้เล็กน้อย จักรวาลก็จะยุบลงคล้ายกับเต้นท์ที่กางไม่ดียังไงยังงั้น จะสิ้นไร้ซึ่งคุณค่า
ในการสร้างมิติที่จำเป็น รวมไปถึงความหนาแน่นและองค์ประกอบต่างๆ แต่ถ้ามันเบากว่านี้ ก็จะไม่มีสิ่งใดยืดเกาะกันได้ นี่เป็นที่เดียวที่เราดำรงอยู่ได้

จักรวาลนั้นบิดตัวโค้งในลักษณะที่เราไม่อาจจินตนาการถึงได้ ซึ่งตรงกับทฤษฏีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ เมื่อไม่รู้ว่าที่ไหนเป็นขอบจักรวาล
ก็แปลว่าไม่มีที่แห่งใดที่เราสามารถยืนอยู่ตรงกลาง แล้วบอกว่า นี่คือจุดที่ทุกสิ่งเริ่มขึ้น นี่คือจุดศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่าง


--- โดยรวมในบทนี้ เค้าพูดถึงเรื่องกำเนิดจักรวาลที่ยุ่งยาก แล้วก็เหลือเชื่อ เราเคยคุยเรื่องนี้กันไปแล้ว จำไม่ได้ว่าตอนปีไหน แต่จำได้ว่า มีเรา โป้ น้อง
นอนเรียงกันที่ห้องเก่าน้อง คุยกันถึงเช้า ว่า มันมีอยู่สองอย่างคือความบังเอิญที่เกิดขึ้น และมีคนสร้างมันขึ้นมา น่าสนใจตรงที่ว่า เราเชื่อข้อสองไ
ด้ง่ายกว่าเยอะมาก เราเคยยกตัวอย่างเช่น เครื่องบินที่ว่าสร้างยากแล้ว ไม่น่าจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือบังเอิญได้ แล้วโลกของเรา จักรวาลของเราล่ะ
ยากกว่าอีก
ชอบอันที่เค้าบอกเอาไว้ว่า มันไม่มีอะไรมาก่อนหน้านั้น เพราะมันตรงกับทางพุทธที่ว่า เพราะสิ่งนั้นมี สิ่งนี้จึงมี อันนี้น้องน่าจะสามารถอธิบายได้ดีกว่าเรา
ลองเอามาพิมพ์นะ แล้วก็เรื่องตัวกูของกู อีกอันนึง ที่เราไม่สามารถบอกว่าเราเป็นจุดศูนย์กลาง ทุกอย่างเป็นของกันและกัน สัมพันธภาพ ---


---เชิญอภิปรายได้---

joesk121

Sunday, July 13, 2008

"Life can be so hard"

"Life can be so hard" I said, moved.

"Yes. But if a person hasn't ever experienced true despair,
she grows old never knowing how to evaluate where she is in life;
never understanding what joy really is. I'm grateful for it."

Kitchen - Yoshimoto Banana

Saturday, July 12, 2008

เรื่องย่อของเกือบทุกสิ่ง

ตอนนี้ได้อ่าน เรื่องย่อของเกือบทุกสิ่ง แล้วจะมาเล่าให้ฟังแล้วกันนะ

Friday, July 11, 2008

แบบว่า

ทำไมถึงได้รู้สึกแคร์ความรู้สึกตัวเองได้มากขนาดนี้ก็ไม่รู้

แคร์แบบว่า มากๆ

ไม่ต้องการให้ตัวเองเสียใจอะไรอีก

ข้อเสียคือ

ทำให้ ระวังกับการที่จะต้องทำอะไรมากขึ้น

เช่น อะไรก็ตามที่จะทำให้เกิดการผูกพันเกิดขึ้น

แรกๆ ชอบที่จะรู้จักคนอื่นๆ

ชอบพบปะ พูดคุย

อยากรู้นู่น นี่ ไปหมด

เป็นคนเชื่อง่าย

หลังๆ โตขึ้น

รู้สึก ต้องระวังมากขึ้น

ซึ่งไม่ชอบหรอก

จริิงๆแล้ว

ไม่ชอบที่ต้องเก็บอะไรไว้

ไม่เข้าใจก็จะอยากจะเข้าใจ

จะถาม ซักไปเรื่อย

แต่โตขึ้นทำให้รู้ว่า

บางอย่าง

มันก็ ต้องเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง

นั่นแหล่ะ

เคยเสียใจมากๆ

กับการที่ต้องรู้จักใคร

แล้ว ตอนหลัง เค้าก็ไม่เป็นแบบที่เราคิด

คือ มองโลกในแง่ดีไง จริงๆ เป็นคนมองโลกในแง่ดีมาตลอด

แต่พอเจอ อะไรแย่ๆ ก็เลยจะรู้สึกไม่ดีมากๆถึงมากที่สุด

ต้องร้องไห้ ต้องเหนื่อย

เพราะฉนั้น

ตอนนี้ ไม่สิ

น่าจะปีกว่าๆได้แล้ว

ที่ เราไม่อยากเสียใจอีก

ไม่อยาก เสียความรู้สึก

เพราะเราเคารพ

ความรู้สึกเรามาก

ก็เลยกลายเป็นว่า

ไม่ค่อยไว้ใจอะไรมากมาย

เหมือนแต่ก่อน

ก็เลยกลายเป็นคน เพื่อนน้อย แต่ได้คุณภาพ(อันนี้รู้ได้จริงๆตามความรู้สึกและเหตุผลจริงๆนะ)

คือแค่จะบอกว่า

แคร์ตัวเองมากไปแล้วตอนนี้

จนส่งผลกระทบถึงความมึน ณ ตอนนี้

เพราะ พอไม่ได้เจอคนที่จะพูดด้วย

มันก็เลยมีความหงอย อยู่บ้าง

ทำให้มองไม่เห็นใคร

ทั้งๆ มีอยู่เต็มรอบตัว รอบกาย

รู้สึกได้

แต่พอจะพูด

สิ่งที่มันออกมา

ก็ไม่ค่อยจะเป็นไปอย่างที่อยากพูดจริงๆหรอก

ก็เลยไม่ชอบ

เหมือนโกหกกัน

ไม่สบายใจ

แต่ก็ต้องทำ

เพราะ สิ่งที่เราคิดมันมากเกินไป

จนทำให้ตัวเองไม่ดี

อยากจะแคร์คนอื่นบ้าง

รู้สึกเป็นคนเห็นแก่ตัวมากไป

..................

youngestsister

Wednesday, July 9, 2008

ไม่รู้เข้ามาทำไม

อืมม

ก็ชอบเข้ามาบ่อยๆ

บางทีก็ไม่มีไรหรอก

แต่ก็เข้ามา

ก็ว่าง

ว่างมากไปหน่อย

ก็เลย หลอนๆ

บรึ๋ยๆ

+_+

Saturday, July 5, 2008

ฟุ้ง...ให้พอเหมาะ

บางครั้งเราก็สงสัยว่า การที่เรามีจินตนาการ มีความคิด
และมุมมองของเราเอง จนบางทีเราก็ยึดติดกับมัน
คิดว่าเราถูกต้องที่สุด และติดสินคนอื่นที่แตกต่างจากเรา

หลายครั้งปากเราบอกว่าไม่ เรารับฟังคนอื่น เปิดเผย
แต่ความจริงลึกๆ เราคิดอย่างนั้นรึป่าว

เวลาที่เราหลงอยู่ในวังวนนั้น เรามักไม่รู้ตัวหรอก มองไม่เห็น
จนทุกอย่างเริ่มแย่ลงไปเรื่อยๆ

มีข้อพระคัมภีร์ตอนนึงมาฝาก

"เหตุไฉนท่านดูผงในตาพี่น้องของท่าน
แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก
เหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องว่า'ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของเธอ'
แต่ที่จริงไม้ทั้งท่อนมีอยู่ในตาของท่านเอง
ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน

แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด
จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้"

มัทธิว7:3-5


เกือบโดนยิงหัว

หลายวันก่อน ฝันว่า กำลังเป็นนักเรียน

ภาพในฝัันเป็นฉาก ตอนที่ ผลสอบของทุกคนกำลังจะมาถึง

แต่การประกาศผลสอบ นั้น

ก็คือ เค้าจะให้ออกมา ทีละสี่คน

ยืนหันหลังให้กับ ผู้้ประกาศผลสอบ

ทุกๆ หนึ่งในสี่นั้น

จะมีคนนึง ที่สอบไม่ผ่าน

บทลงโทษสำหรับคนสอบไม่ผ่านคือ

โดนยิงหัว

.....................

ยังไม่ทันได้รู้สึก

ยังไม่ทันได้ หันกลับมาถามเหตุผล

ไม่มีการจากลา

................

ตอนฝัน พอถึงคราวที่ตัวเองต้องออกไปยืน

ก็มีคำถามอยู่ในใจว่า

ทำไมมันไม่มีเหตุผลเลยวะ

ทำไมคนที่สอบไม่ผ่าน ต้องโดนยิงหัวด้วย

ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ......

จน ความรู้สึกมัน ทำไมสูงสุด

แล้วก็

ตื่น ลืม ตา

ไปอาบน้ำ

นั่งดูโทรทัศน์

เหนื่อย

....................

youngest-sister

Monday, June 30, 2008

ก็ แค่อยากบอกว่า...

รู้สึกดีมากๆ

ที่มี พื้นที่ ตรงนี้ขึ้นมาได้

เพราะเป็น ที่ ที่ รู้สึกปลอดภัยมาก

ที่ไม่ว่าคำพูดอะไรจะหลุดออกไปในที่ตรงนี้

มันจะไม่ทำให้เรากังวลใจ

ไม่แน่ใจว่า โลกไซเบอร์

มันคือโลก ในอากาศ รึเปล่า

เพราะมัน ดูไม่มีตัวตน

จะเห็นกันได้ก็ต่อเมื่อ มีการเชื่อมโยงของอินเตอร์เน็ท

เมาท์---->คีย์บอร์ด--->หน้าจอ--->สายโทรศัพท์--->สัญญานโทรศัพท์--->สายเคเบิ้ล--->
ตัวปล่อยสัญญาน(อยู่ที่ไหน)

นึกถึง เมตทริกซ์ เลยว่ะ

5555+

อืม นั่นแหล่ะ

น้องอาจจะเพ้อเจ้อไปบ้าง

แต่ก็ยังรู้สึกดี ที่ยังมีเพื่อนบ้าๆในนี้

มาคอยรับฟังอยู่ ห่างๆ

วันนี้ไปงาน บายเนียร์

เหมือนไปดูหน้าเพื่อนๆ ว่ามันเปนตายร้ายดีกันยังไง

แค่นั้น ไม่มีไรมากไปกว่านั้น

ก็แค่อยากมาพูด

^_^

..........................

youngestsister

Saturday, June 28, 2008

มันเรื่องของฝน

ทำไม...เวลาฝนตกมักจะรู้สึกเหงา

เพราะว่าท้องฟ้ามันดูหม่นหมองหรอ
หรือเพราะเม็ดฝนทำให้นึกถึงน้ำตา
อารมณ์ของคนเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพแวดล้อมรอบตัวหรอ
ถึงทำให้เราสดใส อยากจะยิ้มในวันที่อากาศดี
อยากจะเหงา นึกถึงเรื่องบางเรื่องในวันอากาศหม่น

ไม่ชอบเวลาที่ฝนตก
เพราะมันเปียก และทำให้ไม่สบาย
แต่ชอบเสียงฝนที่ดังกระทบกับร่ม แล้วไหลเป็นสาย
ชอบมองเม็ดฝนที่สาดกระทบบนหน้าต่าง มันสวย
ชอบที่อากาศเย็น จนอยากจะอยู่นิ่งๆ หลับสบาย
ชอบที่ฝนมักทำให้ย้อนนึกถึงความทรงจำ

ฝนเป็นสิ่งที่ชั้นชอบหรอ...ก็ไม่รู้...
รู้แต่ฝน...ก็ให้ความรู้สึกดีดีอยู่นะ

Sophi's world

ใครอ่านโลกของโซฟีมาบ้างแล้ว เอามาแชร์กันหน่อยดิ
สนุกดี เป็นปรัชญาที่อ่านง่ายมาก สามารถเรียนรู้
ประวัติศาสตร์ได้เยอะเลย เอามาเชื่อมโยงแนวความคิด
ทางด้านสถาปัตยกรรมได้อีกด้วย
-------
joesk121

Friday, June 27, 2008

ความฝัน

ความฝัน

ทำให้ ฉัน

รู้สึกดี

ไม่อยาก

ตื่น

เพราะว่า

มันเป็นความจริง

ความฝันของฉัน

เป็นความจริง

แต่ความจริงที่ฉันอยู่

เป็นความฝัน

เวลาฉันตื่นจากฝัน

ก็เหมือนฉันตายในฝัน

และฉันกำลังฝันอยู่

ในโลกที่โหดร้าย

และเมื่อฉันหลับ

ฉันจะเข้าไปอยู่กับความจริง

ของ

ฉัน


ฉันหลับ ตื่น ฝัน และ

สิ้นใจ

ทุกวัน

...................

youngestsister

Group image

Our update group image (lasts 2 years ago)

WISDOM

Wisdom has built her house;
she has hewn out its seven pillars.
She has prepared her meat and mixed her wine;
she has also set her table.
She has sent out her maids, and she calls
from the highest point of the city.
"Let all who are simple come in here!"
she says to those who lack judgment.
"Come, eat my food
and drink the wine I have mixed.
Leave your simple ways and you will live;
walk in the way of understanding.

Proverbs 9:1-6

EMPTYGROUP's Philosophy

ไม่มีชื่อผู้เล่าเรื่อง

ไม่ระบุสถานที่

ไม่บอกที่มาที่ไปชัดเจน

ไม่อยู่กับที่

ไม่มีที่อยู่อาศัยถาวร

มีแต่การคอยซ่อนตัว

และพยายามหลบหนี

รวมทั้งความล้มเหลวในการสื่อสารกับเพื่อนมนุยษ์

คงมีแต่คนที่เปล่าเปลี่ยวแปลกแยกที่สุด

จึงจะกลัวความอาทรจากคนอื่น

เพราะความอาทรจากคนอื่นนำไปสู่การเป็นหนี้และการผูกความสัมพันธ์

การบังเอิญได้รับความเอื้อเฟื้อเป็นโชคร้ายไม่ใช่โชคดี

มุกหอม วงษ์เทศ
ปกหลัง หนังสือของ Samuel Beckett รักแรก และ เรื่องอื่นๆ
............................

youngestsister