Thursday, July 17, 2008

ประวัติย่อของเกือบทุกสิ่ง จากจักรวาลถึงเซลล์ Part I

บทความนี้อ้างอิงจากหนังสือชื่อ ประวัติย่อของเกือบทุกสิ่ง จากจักรวาลถึงเซลล์
A Short History of Nearly Everything by Bill Bryson

*** หมายเหตุ
เนื่องจากเนื้อความจะถูกยกมาเป็นส่วนมากแล้ว
ยังจะมีส่วนที่เป็นความเห็นของผมเองด้วย
ซึ่งจะใช้สัญลักษณ์ --- XXXXXXX ---

--- เริ่มเลย ---
--- เมื่อวิทยาศาสตร์เจอกับพระเจ้า ---

นักฟิสิกส์ ลีโอ ซิลาร์ด บอกเพื่อนของเขา ฮันส์ เบธ ว่าเขาคิดจะเขียนบันทึกประจำวันขึ้นมาสักเล่มหนึ่ง
“เราไม่ได้ตั้งใจจะตีพิมพ์มันหรอก เพียงแต่อยากบันทึกความจริงไว้เป็นข้อมูลแด่พระเจ้า”
“นายไม่คิดว่าพระเจ้ารู้ความจริงในทุกสรรพสิ่งต่างๆอยู่แล้วเหรอ?” เบธสงสัย “ก็ใช่”
ซิลาร์ดตอบ “พระองค์รู้ แต่พระองค์ไม่รู้ความจริงแบบที่เราจะเขียนนี่หรอกหว่ะ!”

ฮันส์ คริสเตียน ฟอน เบเยอร์
(Hans Christian von Baeyer), Taming the Atom


การสร้างจักรวาลตามทฤษฏีบิ๊กแบง
คุณจะต้องรวบรวมเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ ทุกๆอนุภาคที่เหลืออยู่และทุกๆสสารตั้งแต่ที่นี่จนถึงสุดขอบของการสร้างภพ
เอามาบีบไว้ในจุดขนาดเล็กจิ๋วจนแทบไม่เหลือมิติใดๆเลย นี่คือจุดที่มีเชื่อเรียกว่า ซิงกูลาริตี (Singularity)
คุณต้องเตรียมการระเบิดครั้งใหญ่ไว้ด้วย โดยธรรมชาติแล้วคุณคงอยากหนีไปสังเกตการณ์ในที่ปลอดภัย แต่โชคไม่ดีครับ
เพราะไม่มีที่ไหนให้หนีอีกแล้ว นอกจากจุด Singularity นั้นไม่มีที่ไหนเหลืออยู่อีก เมื่อจักวาลขยยายตัว
มันไม่ได้ไปกินที่ว่างเปล่าที่ใหญ่กว่านะครับ เพราะที่ว่างเดียวที่ดำรงอยู่ ก็คือที่ที่เกิดขึ้นขณะที่จักรวาลขยายตัวนั้นเอง

ไม่มีหรอกครับอวกาศ ไม่มีความมืดด้วย Singularity ไม่มีอะไรมาล้อมรอบมันอยู่ ไม่มีพื้นที่อวกาศให้มันเข้าครอบครอง
ไม่มีสถานที่ให้มันอยู่ เราถามไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่า จุดที่ว่านี้อยู่ที่นั้นมานานแค่ไหนแล้ว สงสัยไม่ได้ด้วยว่าจู่ๆ มันก็โผล่ขึ้นมาเหมือนไอเดียเจ๋งๆ
หรืออย่างไร หรือว่ามันมีอยู่มาชั่วนิรันดร์ก่อนหน้า แล้วรอเวลาอันควร เพราะเวลาก็ไม่ได้ดำรงอยู่จึงไม่มีอดีตให้มันผุดขึ้นมา

สิ่งมหัศจรรย์ในมุมมองของเราก็คือ จักรวาลช่างเหมาะเจาะกับเราเสียเหลือเกิน ถ้าจักรวาลก่อกำเนิดขึ้นมาผิดไปจากนี้นิดเดียว
ถ้าแรงโน้มถ่วงมากหรือน้อยกว่านี้เพียงนิด ถ้าอัตราการขยายตัวเคลื่อนไปช้าหรือเร็วกว่านี้อีกหน่อย ก็ไม่อาจเกิดธาตุที่สร้างตัวคุณกับตัวผม
และแผ่นดินที่เรายืนอยู่ได้ หากแรงโน้มถ่วงมากกว่านี้เล็กน้อย จักรวาลก็จะยุบลงคล้ายกับเต้นท์ที่กางไม่ดียังไงยังงั้น จะสิ้นไร้ซึ่งคุณค่า
ในการสร้างมิติที่จำเป็น รวมไปถึงความหนาแน่นและองค์ประกอบต่างๆ แต่ถ้ามันเบากว่านี้ ก็จะไม่มีสิ่งใดยืดเกาะกันได้ นี่เป็นที่เดียวที่เราดำรงอยู่ได้

จักรวาลนั้นบิดตัวโค้งในลักษณะที่เราไม่อาจจินตนาการถึงได้ ซึ่งตรงกับทฤษฏีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ เมื่อไม่รู้ว่าที่ไหนเป็นขอบจักรวาล
ก็แปลว่าไม่มีที่แห่งใดที่เราสามารถยืนอยู่ตรงกลาง แล้วบอกว่า นี่คือจุดที่ทุกสิ่งเริ่มขึ้น นี่คือจุดศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่าง


--- โดยรวมในบทนี้ เค้าพูดถึงเรื่องกำเนิดจักรวาลที่ยุ่งยาก แล้วก็เหลือเชื่อ เราเคยคุยเรื่องนี้กันไปแล้ว จำไม่ได้ว่าตอนปีไหน แต่จำได้ว่า มีเรา โป้ น้อง
นอนเรียงกันที่ห้องเก่าน้อง คุยกันถึงเช้า ว่า มันมีอยู่สองอย่างคือความบังเอิญที่เกิดขึ้น และมีคนสร้างมันขึ้นมา น่าสนใจตรงที่ว่า เราเชื่อข้อสองไ
ด้ง่ายกว่าเยอะมาก เราเคยยกตัวอย่างเช่น เครื่องบินที่ว่าสร้างยากแล้ว ไม่น่าจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือบังเอิญได้ แล้วโลกของเรา จักรวาลของเราล่ะ
ยากกว่าอีก
ชอบอันที่เค้าบอกเอาไว้ว่า มันไม่มีอะไรมาก่อนหน้านั้น เพราะมันตรงกับทางพุทธที่ว่า เพราะสิ่งนั้นมี สิ่งนี้จึงมี อันนี้น้องน่าจะสามารถอธิบายได้ดีกว่าเรา
ลองเอามาพิมพ์นะ แล้วก็เรื่องตัวกูของกู อีกอันนึง ที่เราไม่สามารถบอกว่าเราเป็นจุดศูนย์กลาง ทุกอย่างเป็นของกันและกัน สัมพันธภาพ ---


---เชิญอภิปรายได้---

joesk121

5 comments:

Anonymous said...

ถ้ามองในแง่ของชั้นก็อย่างที่บอกว่า มันน่าเชื่อว่ามีคนสร้างมันขึ้นมาจริงๆ

มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่อาจอธิบายได้ เราชอบเรียกมันว่า "ธรรมชาติ"
ถ้ายังงั้นธรรมชาติคงฉลาดและรู้ทุกสิ่งจริงๆ
มันรู้ว่ามันจะทำอะไร และไปอย่างไร รุจักที่จะพึ่งพากันมีวงจรชีวิตที่เกื้อกูล หากขาดแม้แมลงเล็กๆ หรือแค่พืชชั้นต่ำที่สุด วงจรจะวิบัติทันที

ธรรมชาติ รู้จักที่จะปรับตัว สร้างสมดุลย์ต่อทุกสิ่งเสมอ
เราเชื่อว่า ธรรมชาติ จักรวาล และกลไกในร่างกายของมนุษย์
มันทำงานได้อย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด
จนไม่อาจพูดได้เต็มปากว่า "มันคือความบังเอิญ"



---kamenoi---

joesk121 said...

เมื่อกอ่นก็คิดว่าคือธรรมชาติและ
หลังๆมาเริ่มไม่เชื่อไง

แต่เราก็พิสูจน์ไม่ได้จริงๆว่ามีคนสร้างหรือเปล่า
คนส่วนมากเลยคิดว่าเป็นธรรมชาติได้ง่ายกว่า เรื่องที่มีใครสร้าง

มันย้อนไปมาเสมอเลย เรื่องแบบนี้

มันอาจเป็นความจริงในระดับหนึ่ง
เป็นชุดความจริงหนึ่งท่านั้น ในกระบวนชุดความจริงอีกมากมาย

เราเคยได้ฟังจากการไป city walk ที่เชียงใหม่ กับพี่ฉุน โป้ น้อง
แล้วก็น้องๆอีกมากมาย
ชอบมาก เรื่อง ความจริงมีหลายชุด

แต่ก็นั้นแหละ
ความจริงที่นำไปสู่ความจริงที่สุดนั้น อาจจะมีทางเดียว
ไม่รู้นะ

youngestsister said...

อืมมมม
ยังไงดีนะ
อย่างแรกขอบอกว่า
มัน ซ๊ำ
ซ๊ำในที่นี้คือ ความคิดแบบนี้
มันวนเวียน ความยาวนานที่มันจะกลับมา
ซ๊ำอีก ก็ไม่รู้ว่าเท่าไหร่
และมันจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ สำหรับเรานะ

ก็เคยพูดกันไป อ่านหนังสือกันไป
คุยกันไป เพื่ออะไรบางอย่าง

สำหรับเรา บางทีก็เพื่อ คำตอบที่มันต้องชัดเจนขึ้นทุกวันๆ
และตอนนี้มันก็เกือบจะชัดเจนขึ้นทุกๆวัน
แต่ตอนนี้เรายังไม่สามารถอธิบายได้
คิดว่าวันนึงจะบอกได้

ส่วนเรื่องที่ว่า
เพราะสิ่งนั้นมี สิ่งนั้นจึงมี
มันก็คือ "มันเป็นเช่นนั้นเอง"
แต่ก่อนเคยคิดว่า ทุกอย่างเป็นเพราะเราเอง
Because of me
แต่มีวันนึง พี่มาบอกว่า
ลองดูดีๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเช่นนั้นเอง

อย่างเช่น เราโดนมีดบาด
เราร้องไห้ ถามว่าเจ็บไหม เจ็บ
แต่..น้ำตา..มันออกมาเอง เราไม่ได้อยากร้องไห้(ในกรณีที่โตแล้ว)
แต่ถ้าเราใส่ความรู้สึกว่าเจ็บลงไป
น้ำตาเราจะยิ่งไหล
เพราะฉนั้น ถ้าเราสามารถแยกได้ว่า
เราโดนมีดบาด เราก็ต้องเจ็บ
แต่ถ้าใจเรารู้ว่า มันต้องเจ็บ
เราจะไม่รู้สึกเจ็บ
เพราะ มีดบาดก็ต้องเจ็บ
มันเป็นเช่นนั้นเอง

ไม่รู้จะงงรึเปล่านะ

กว่าจะรู้ได้
ก็ร้องไห้ไปเยอะเหมือนกันล่ะ
^_^

มันก็ยากนะ ที่เราจะต้องมานั่งแยกแยะ
นู่น นี่ นั่น

แต่ถามว่า คนทำได้มั๊ย
คนทำได้ คนฝึกได้
เพราะฉนั้นเราก็ทำได้
แต่เราต้องพยายาม
ต้องอดทน

ไม่รู้สิ เลยเถิดมากแล้ว
555

เรื่องจักรวาล
ก็สงสัย
ตอนนี้ยังอ่าน the brief history of time
โดย stephen hawking
ยังไม่จบเลย
พยายามอ่านมาหลายปีมาก
เค้าบอกว่า เป็นที่มาที่ไปของจักรวาล
แบบที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด

ก็จะพยายามอ่านให้จบอยู่

จักรวาล ก็ คือจักรวาล
เราคิดว่ายังไงเราก็ไม่มีทางรู้หรอกว่า
มันมาได้ยังไง
ตอนนี้เราน่าจะรู้ว่า
เราเกิดมาแล้ว เราจะทำยังไงให้ชีวิต
เรามีต่อไป อย่างมีความสุขในแต่ละวัน
ก็น่าจะพอ มั้ง
ไม่รู้ง่ายไปรึเปล่านะ

ในใจลึกๆ ก็ยังหวังว่า
มันจะเจออะไรบางอย่าง
ต้องมีความสัมพันธ์อะไรซักอย่าง
ที่เราจะอธิบายได้

มันก็เป็นเช่นนี้แล
^_^_^_^_^

joesk121 said...

เรื่องของที่ว่าฝึกได้ของน้องอ่า
สำหรับกู กูว่าไม่ได้ฝึกหว่ะ
มันเข้าใจมากขึ้น

เพราะ เราไม่เข้าใจมันต่างหาก

แต่ถ้าจะมีอะไรที่จะต้องฝึกจริงๆ
กูว่าเป็นเรื่องการดับทุกข์ของพระพุทธเจ้ามากกว่า

เราเคยคุยกันว่า
พระพุทธเจ้าก็เป็นคนเหมือนกับเรา
ต่างกันตรงที่ เค้าสามารถ
ดับทุกข์ได้เดี๋ยวนั้น

เช่น
ท่านเห็นผู้หญิงเปลือย
เกิดอารมณ์ กิเลศ
ดับเดี๋ยวนั้นเลย

พวกเรามีใครทำได้บ้างไหม
จะฝึกได้ไหม
มันยากไปไหม

เพราะฉนั้น ไม่มีใครไม่มีกิเลศ
ทุกคนมี แม้แต่พระพุทธเจ้า
ไม่สารถหนีจากวงจรได้
หากแต่ ทำยังไงให้วงจรสั้นที่สุด

สุดท้ายตัดวงจร
นิพานไป

youngestsister said...

ลืมบอกอีกอย่างว่า

ที่โจ้พูดเรื่องที่ชอบคุยๆกันแต่ก่อน

จะบอกว่า

ขอบคุณมาก

อยากน้อยเพื่อนๆตรงนี้

ก็ทำให้ soad มีสีสันสำหรับเรา

ไม่มีอาจเฉาตายได้

555