Sunday, July 27, 2008

Bartleby, the Scrivener: A Story of Wall-Street

เพิ่งอ่านหนังสือเล่มนี้จบมาหมาด

Bartleby, the Scrivener: A Story of Wall-Street By Herman Melville
พัจนภา เปี่ยมศิลปกุลชร แปล ปราบดา หยุ่น บทกล่าวตาม

อยากจะเอามาเล่าให้ฟัง

เป็นหนังสือชุด วรรณกรรมในวงเล็บ 01 (02 คือเรื่องของ Samuel Beckett เรื่องที่เราเอาปกหลังของหนังสือเล่มนี้มาเป็น หัวข้อแรกของ blog นี้ไง แต่ยังอ่านไม่จบอันนั้น มีความมึนนิดหน่อย)

ต่อๆ ก็อ่านเล่มนี้จบก่อนเพราะอินไปก่ะเรื่องด้วยมั้ง

ประโยคทีเด็ดสำหรับเราคือ

"การทำสิ่งนั้นมันเป็นการกักขังเกินไป ไม่ครับ ผมไม่ต้องการเป็นเสมียน แต่ผมก็ไม่ได้เจาะจงอะไร"

อยากรู้มากกว่านั้นให้ลองเข้าไปอ่านย่อๆในเว็บลิ๊งค์นี้
http://www.faylicity.com/book/book1/scrive.html

สำหรับเรา

เราก็ไม่รู้ว่า การที่ตอนจบของ Bartleby มันเป็นแบบนั้น มันสมควรหรือไม่สมควร

แต่พอมองกลับมาที่ปัจจุบัน ที่ตัวเองแล้ว

การที่เราต้องทำงานอะไรอย่างเดียว มัน ใช่,สมควร,จริง (ไม่รู้จะใช้คำไหนดี) แล้วเหรอ

กับการที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ที่สามารถเรียนรู้อะไรได้หลายอย่าง

หรือแบบที่เค้าบอกว่า การที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก มันก็เหมือนกับการไม่ได้ใช้คำว่าทำงาน

แต่ก็มีไม่กี่คนที่จะหา งานที่ตัวเองรัก ที่อยากทำได้จริงๆ

เหมือนกับตอนนี้ ที่เราต้องทำงาน ต้องถูกกักขัง ด้วยความรู้ที่เราเรียนมา

มันก็ตอบยากเหมือนกันนะ ว่างานแบบไหนที่เราชอบและอยากทำโดยที่มีความเบื่อน้อยที่สุด

งานถึงแม้จะต้องบ่นซักแค่ไหน ต้องวุ่นวายกับมันแค่ไหน

เราก็ยังรักที่จะทำมันอยู่ดี

สำหรับเรา ขอให้ได้ทำงาน อะไรก้ได้ที่มันยังได้คิด ได้ออกแบบ

ได้มีความรู้ใหม่ๆ แต่ถามว่าอยากเป็น interior designer มั๊ยก็ตอบไม่ได้ว่ะ

เพราะ "การทำสิ่งนั้นมันเป็นการกักขังเกินไป ไม่ครับ ผมไม่ต้องการเป็นเสมียน แต่ผมก็ไม่ได้เจาะจงอะไร"

...................................................

Tuesday, July 22, 2008

nonghp

จะมาบอกว่า

อ่าน harry potter เล่ม ห้าจบแล้ว

เย่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ และแล้วความพยายามที่หวังไว้

ก็ทำได้ในที่สุด

สนุกมากกกกกกกกกก อยากอ่านเล่มหกแล้ว

ยังไม่ได้ซื้อเลย

อยากจะดูหนัง ภาค ห้าอีกรอบ

น้องทำได้แล้ว

หลังจากที่ใช้ความพยายามอยู่นานมาก

เห้อ รู้สึกปลดปล่อย รู้สึก ว่า nonghp จะกลับมาแล้ว

อ่านแล้ว เกิดจินตนาการสูงสุด ความรู้สึกที่เคยชอบมากๆ จนเอามาตั้งเป็นชื่อ nonghp

ก็กลับมา ดีใจสุดๆ รัก harry potter สุดๆ 555++

อยากจะมีชีวิตแบบ harry potter อยากมีเวทมนต์

อยากเข้าไปในป่าต้องห้าม

อยากทะลุทะลวงมิติผ่าน ตู้โทรศัพท์

อยาก ใช้ไม้กายสิทธิ์ หมุนๆๆๆ แล้วก็พูด เวทมนต์ต่างๆ ได้บ้าง

อยากเห็นสัตว์วิเศษ

อยากขี่บัคบีท บ้าง

อยากนั่งรถไฟไปฮอกวอทต์ บ้าง

อยากมีเพื่อนแบบ ลูน่า เลิฟกู๊ด

อยากจะไปเที่ยว ฮอกมี๊ต

อยากไปร้านที่ เฟร็ด ก่ะ จอร์จ เปิดขึ้นมา

อยากได้จดหมายกัมปนาทบ้าง คงสนุกดี

อยากนั่งรถบินได้

อยากทะลุทะลวง กำแพงไปสถานนีรถไฟ เลขที่ เก้า เศษ สามส่วน สี่

อยากเรียน ที่โรงเรียนฮอกวอทต์

ไม่ไหวแล้ว จินตนาการเลยเถิดมากมาย

อยากเข้าไปในโลกวิเศษ

ฟิ๊วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

the pursuit of happiness

เมื่อคืนดูหนังเรื่อง the pursuit of happyness
มีอยู่ตอนเพระเอกบอกว่า thomas jefferson รู้ได้ไงว่า ความสุขต้องไล่ลา
เค้ารู้ได้ไงว่า เราครอบครองมันไม่ได้

น่าสนใจดี แล้วเราเห็นด้วยหว่ะ มันไม่อยู่กับเรานาน
เราต้องไขว่คว้า ไล่ล่ามันตลอด
ตอนนี้ ชีวิตกูแม่งคล้ายยังงั้นหว่ะ
คงหาอะไรบางอย่างอยู่ พอได้แล้วแม่งก็หายไปอีก

ทำอะไรอยู่ว่ะ

เราอยากรู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่
อยากทำให้ได้

ข้างล่างนี้คือที่ Jefferson เขียนเอาไว้


Declaration of Independence, Thomas Jefferson wrote:

We hold these truths to be sacred & undeniable; that all men are created equal & independent, that from that equal creation they derive rights inherent & inalienable, among which are the preservation of life, & liberty, & the pursuit of happiness; that to secure these ends, governments are instituted among men, deriving their just powers from the consent of the governed; that whenever any form of government shall become destructive of these ends, it is the right of the people to alter or to abolish it, & to institute new government, laying its foundation on such principles & organizing its powers in such form, as to them shall seem most likely to effect their safety & happiness.


reference:
http://en.wikipedia.org/wiki/Thomas_Jefferson

Sunday, July 20, 2008

our group

http://groups.google.com/group/whiteempty

Saturday, July 19, 2008

ชอบสอน

รู้สึกมาตั้งนานและ ว่าตัวเองชอบสอนคนอื่น
รู้สึกดีที่ได้เล่าอะไรที่เรารู้ ส่งต่อไปยังคนอื่นอีก
เหมือนตัวเองได้ทำประโยชน์อะไรบางอย่าง
แล้วถ้าเค้าชอบหรือเข้าใจในสิ่งที่เราบอกไป
จะดีใจมากๆเลย เพราะ มันเกิดผลแล้ว

เมื่อวานทำงาน เปิดเพลงเก่าฝรั่ง
เจ้านายร้องตามได้ เค้าชอบ เราก็ดีใจ
แล้วก็คุยเรื่องเก่าๆกันตอนเค้ายังหนุ่มๆ
รู้สึกดีหว่ะ

Thursday, July 17, 2008

ประวัติย่อของเกือบทุกสิ่ง จากจักรวาลถึงเซลล์ Part I

บทความนี้อ้างอิงจากหนังสือชื่อ ประวัติย่อของเกือบทุกสิ่ง จากจักรวาลถึงเซลล์
A Short History of Nearly Everything by Bill Bryson

*** หมายเหตุ
เนื่องจากเนื้อความจะถูกยกมาเป็นส่วนมากแล้ว
ยังจะมีส่วนที่เป็นความเห็นของผมเองด้วย
ซึ่งจะใช้สัญลักษณ์ --- XXXXXXX ---

--- เริ่มเลย ---
--- เมื่อวิทยาศาสตร์เจอกับพระเจ้า ---

นักฟิสิกส์ ลีโอ ซิลาร์ด บอกเพื่อนของเขา ฮันส์ เบธ ว่าเขาคิดจะเขียนบันทึกประจำวันขึ้นมาสักเล่มหนึ่ง
“เราไม่ได้ตั้งใจจะตีพิมพ์มันหรอก เพียงแต่อยากบันทึกความจริงไว้เป็นข้อมูลแด่พระเจ้า”
“นายไม่คิดว่าพระเจ้ารู้ความจริงในทุกสรรพสิ่งต่างๆอยู่แล้วเหรอ?” เบธสงสัย “ก็ใช่”
ซิลาร์ดตอบ “พระองค์รู้ แต่พระองค์ไม่รู้ความจริงแบบที่เราจะเขียนนี่หรอกหว่ะ!”

ฮันส์ คริสเตียน ฟอน เบเยอร์
(Hans Christian von Baeyer), Taming the Atom


การสร้างจักรวาลตามทฤษฏีบิ๊กแบง
คุณจะต้องรวบรวมเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ ทุกๆอนุภาคที่เหลืออยู่และทุกๆสสารตั้งแต่ที่นี่จนถึงสุดขอบของการสร้างภพ
เอามาบีบไว้ในจุดขนาดเล็กจิ๋วจนแทบไม่เหลือมิติใดๆเลย นี่คือจุดที่มีเชื่อเรียกว่า ซิงกูลาริตี (Singularity)
คุณต้องเตรียมการระเบิดครั้งใหญ่ไว้ด้วย โดยธรรมชาติแล้วคุณคงอยากหนีไปสังเกตการณ์ในที่ปลอดภัย แต่โชคไม่ดีครับ
เพราะไม่มีที่ไหนให้หนีอีกแล้ว นอกจากจุด Singularity นั้นไม่มีที่ไหนเหลืออยู่อีก เมื่อจักวาลขยยายตัว
มันไม่ได้ไปกินที่ว่างเปล่าที่ใหญ่กว่านะครับ เพราะที่ว่างเดียวที่ดำรงอยู่ ก็คือที่ที่เกิดขึ้นขณะที่จักรวาลขยายตัวนั้นเอง

ไม่มีหรอกครับอวกาศ ไม่มีความมืดด้วย Singularity ไม่มีอะไรมาล้อมรอบมันอยู่ ไม่มีพื้นที่อวกาศให้มันเข้าครอบครอง
ไม่มีสถานที่ให้มันอยู่ เราถามไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่า จุดที่ว่านี้อยู่ที่นั้นมานานแค่ไหนแล้ว สงสัยไม่ได้ด้วยว่าจู่ๆ มันก็โผล่ขึ้นมาเหมือนไอเดียเจ๋งๆ
หรืออย่างไร หรือว่ามันมีอยู่มาชั่วนิรันดร์ก่อนหน้า แล้วรอเวลาอันควร เพราะเวลาก็ไม่ได้ดำรงอยู่จึงไม่มีอดีตให้มันผุดขึ้นมา

สิ่งมหัศจรรย์ในมุมมองของเราก็คือ จักรวาลช่างเหมาะเจาะกับเราเสียเหลือเกิน ถ้าจักรวาลก่อกำเนิดขึ้นมาผิดไปจากนี้นิดเดียว
ถ้าแรงโน้มถ่วงมากหรือน้อยกว่านี้เพียงนิด ถ้าอัตราการขยายตัวเคลื่อนไปช้าหรือเร็วกว่านี้อีกหน่อย ก็ไม่อาจเกิดธาตุที่สร้างตัวคุณกับตัวผม
และแผ่นดินที่เรายืนอยู่ได้ หากแรงโน้มถ่วงมากกว่านี้เล็กน้อย จักรวาลก็จะยุบลงคล้ายกับเต้นท์ที่กางไม่ดียังไงยังงั้น จะสิ้นไร้ซึ่งคุณค่า
ในการสร้างมิติที่จำเป็น รวมไปถึงความหนาแน่นและองค์ประกอบต่างๆ แต่ถ้ามันเบากว่านี้ ก็จะไม่มีสิ่งใดยืดเกาะกันได้ นี่เป็นที่เดียวที่เราดำรงอยู่ได้

จักรวาลนั้นบิดตัวโค้งในลักษณะที่เราไม่อาจจินตนาการถึงได้ ซึ่งตรงกับทฤษฏีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์ เมื่อไม่รู้ว่าที่ไหนเป็นขอบจักรวาล
ก็แปลว่าไม่มีที่แห่งใดที่เราสามารถยืนอยู่ตรงกลาง แล้วบอกว่า นี่คือจุดที่ทุกสิ่งเริ่มขึ้น นี่คือจุดศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่าง


--- โดยรวมในบทนี้ เค้าพูดถึงเรื่องกำเนิดจักรวาลที่ยุ่งยาก แล้วก็เหลือเชื่อ เราเคยคุยเรื่องนี้กันไปแล้ว จำไม่ได้ว่าตอนปีไหน แต่จำได้ว่า มีเรา โป้ น้อง
นอนเรียงกันที่ห้องเก่าน้อง คุยกันถึงเช้า ว่า มันมีอยู่สองอย่างคือความบังเอิญที่เกิดขึ้น และมีคนสร้างมันขึ้นมา น่าสนใจตรงที่ว่า เราเชื่อข้อสองไ
ด้ง่ายกว่าเยอะมาก เราเคยยกตัวอย่างเช่น เครื่องบินที่ว่าสร้างยากแล้ว ไม่น่าจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือบังเอิญได้ แล้วโลกของเรา จักรวาลของเราล่ะ
ยากกว่าอีก
ชอบอันที่เค้าบอกเอาไว้ว่า มันไม่มีอะไรมาก่อนหน้านั้น เพราะมันตรงกับทางพุทธที่ว่า เพราะสิ่งนั้นมี สิ่งนี้จึงมี อันนี้น้องน่าจะสามารถอธิบายได้ดีกว่าเรา
ลองเอามาพิมพ์นะ แล้วก็เรื่องตัวกูของกู อีกอันนึง ที่เราไม่สามารถบอกว่าเราเป็นจุดศูนย์กลาง ทุกอย่างเป็นของกันและกัน สัมพันธภาพ ---


---เชิญอภิปรายได้---

joesk121

Sunday, July 13, 2008

"Life can be so hard"

"Life can be so hard" I said, moved.

"Yes. But if a person hasn't ever experienced true despair,
she grows old never knowing how to evaluate where she is in life;
never understanding what joy really is. I'm grateful for it."

Kitchen - Yoshimoto Banana

Saturday, July 12, 2008

เรื่องย่อของเกือบทุกสิ่ง

ตอนนี้ได้อ่าน เรื่องย่อของเกือบทุกสิ่ง แล้วจะมาเล่าให้ฟังแล้วกันนะ

Friday, July 11, 2008

แบบว่า

ทำไมถึงได้รู้สึกแคร์ความรู้สึกตัวเองได้มากขนาดนี้ก็ไม่รู้

แคร์แบบว่า มากๆ

ไม่ต้องการให้ตัวเองเสียใจอะไรอีก

ข้อเสียคือ

ทำให้ ระวังกับการที่จะต้องทำอะไรมากขึ้น

เช่น อะไรก็ตามที่จะทำให้เกิดการผูกพันเกิดขึ้น

แรกๆ ชอบที่จะรู้จักคนอื่นๆ

ชอบพบปะ พูดคุย

อยากรู้นู่น นี่ ไปหมด

เป็นคนเชื่อง่าย

หลังๆ โตขึ้น

รู้สึก ต้องระวังมากขึ้น

ซึ่งไม่ชอบหรอก

จริิงๆแล้ว

ไม่ชอบที่ต้องเก็บอะไรไว้

ไม่เข้าใจก็จะอยากจะเข้าใจ

จะถาม ซักไปเรื่อย

แต่โตขึ้นทำให้รู้ว่า

บางอย่าง

มันก็ ต้องเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง

นั่นแหล่ะ

เคยเสียใจมากๆ

กับการที่ต้องรู้จักใคร

แล้ว ตอนหลัง เค้าก็ไม่เป็นแบบที่เราคิด

คือ มองโลกในแง่ดีไง จริงๆ เป็นคนมองโลกในแง่ดีมาตลอด

แต่พอเจอ อะไรแย่ๆ ก็เลยจะรู้สึกไม่ดีมากๆถึงมากที่สุด

ต้องร้องไห้ ต้องเหนื่อย

เพราะฉนั้น

ตอนนี้ ไม่สิ

น่าจะปีกว่าๆได้แล้ว

ที่ เราไม่อยากเสียใจอีก

ไม่อยาก เสียความรู้สึก

เพราะเราเคารพ

ความรู้สึกเรามาก

ก็เลยกลายเป็นว่า

ไม่ค่อยไว้ใจอะไรมากมาย

เหมือนแต่ก่อน

ก็เลยกลายเป็นคน เพื่อนน้อย แต่ได้คุณภาพ(อันนี้รู้ได้จริงๆตามความรู้สึกและเหตุผลจริงๆนะ)

คือแค่จะบอกว่า

แคร์ตัวเองมากไปแล้วตอนนี้

จนส่งผลกระทบถึงความมึน ณ ตอนนี้

เพราะ พอไม่ได้เจอคนที่จะพูดด้วย

มันก็เลยมีความหงอย อยู่บ้าง

ทำให้มองไม่เห็นใคร

ทั้งๆ มีอยู่เต็มรอบตัว รอบกาย

รู้สึกได้

แต่พอจะพูด

สิ่งที่มันออกมา

ก็ไม่ค่อยจะเป็นไปอย่างที่อยากพูดจริงๆหรอก

ก็เลยไม่ชอบ

เหมือนโกหกกัน

ไม่สบายใจ

แต่ก็ต้องทำ

เพราะ สิ่งที่เราคิดมันมากเกินไป

จนทำให้ตัวเองไม่ดี

อยากจะแคร์คนอื่นบ้าง

รู้สึกเป็นคนเห็นแก่ตัวมากไป

..................

youngestsister

Wednesday, July 9, 2008

ไม่รู้เข้ามาทำไม

อืมม

ก็ชอบเข้ามาบ่อยๆ

บางทีก็ไม่มีไรหรอก

แต่ก็เข้ามา

ก็ว่าง

ว่างมากไปหน่อย

ก็เลย หลอนๆ

บรึ๋ยๆ

+_+

Saturday, July 5, 2008

ฟุ้ง...ให้พอเหมาะ

บางครั้งเราก็สงสัยว่า การที่เรามีจินตนาการ มีความคิด
และมุมมองของเราเอง จนบางทีเราก็ยึดติดกับมัน
คิดว่าเราถูกต้องที่สุด และติดสินคนอื่นที่แตกต่างจากเรา

หลายครั้งปากเราบอกว่าไม่ เรารับฟังคนอื่น เปิดเผย
แต่ความจริงลึกๆ เราคิดอย่างนั้นรึป่าว

เวลาที่เราหลงอยู่ในวังวนนั้น เรามักไม่รู้ตัวหรอก มองไม่เห็น
จนทุกอย่างเริ่มแย่ลงไปเรื่อยๆ

มีข้อพระคัมภีร์ตอนนึงมาฝาก

"เหตุไฉนท่านดูผงในตาพี่น้องของท่าน
แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก
เหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องว่า'ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของเธอ'
แต่ที่จริงไม้ทั้งท่อนมีอยู่ในตาของท่านเอง
ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน

แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด
จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้"

มัทธิว7:3-5


เกือบโดนยิงหัว

หลายวันก่อน ฝันว่า กำลังเป็นนักเรียน

ภาพในฝัันเป็นฉาก ตอนที่ ผลสอบของทุกคนกำลังจะมาถึง

แต่การประกาศผลสอบ นั้น

ก็คือ เค้าจะให้ออกมา ทีละสี่คน

ยืนหันหลังให้กับ ผู้้ประกาศผลสอบ

ทุกๆ หนึ่งในสี่นั้น

จะมีคนนึง ที่สอบไม่ผ่าน

บทลงโทษสำหรับคนสอบไม่ผ่านคือ

โดนยิงหัว

.....................

ยังไม่ทันได้รู้สึก

ยังไม่ทันได้ หันกลับมาถามเหตุผล

ไม่มีการจากลา

................

ตอนฝัน พอถึงคราวที่ตัวเองต้องออกไปยืน

ก็มีคำถามอยู่ในใจว่า

ทำไมมันไม่มีเหตุผลเลยวะ

ทำไมคนที่สอบไม่ผ่าน ต้องโดนยิงหัวด้วย

ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ......

จน ความรู้สึกมัน ทำไมสูงสุด

แล้วก็

ตื่น ลืม ตา

ไปอาบน้ำ

นั่งดูโทรทัศน์

เหนื่อย

....................

youngest-sister