Tuesday, September 30, 2008

Story of somewhere in coffee shop

-- note --
ภาษาไทยไม่มี "." และ ","
ผมเอามาผสมกันเอง และไม่ชอบ "." เอาซะเลย
จะเห็น "," มากมาย เอาไว้เว้นวรรคให้คนอ่านได้โต้ตอบบ้าง

มันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อเสียทีเดียวที่ต้องมนั่งอยู่ตรงนี้ เพราะผมไม่ได้ทำการบ้านมาส่งตอนเช้าวันนี้ เลยต้องมานั่งหาวิธีโกหกอาจารย์ แต่ก็ยังไม่วายคิดไม่ออกเสียที นั้นไงมากันแล้ว มึงทำมาหรือเปล่าว่ะ กูแย่แน่เลย แต่ชั่งมันเถอะ รุ่นพี่ก็บอกกันมาว่าโกหกไปเรื่อยเปื่อย เดี๋ยวก็ผ่านไปเองแหละ อย่างมากก็แค่ได้เกรดห่วย เราเรียนสถาปัตนะเว้ย ไม่ต้องเกรดสวยหรอก หรือมึงว่ายังไงว่ะ, กูว่าทำตัวเจ๋งๆเอาไว้ก็พอ คนเรามันก็ดูกันแค่นี้แหละ ส่วนงานแม่งก็หลอกๆกันไป ทั้งเราทั้งลูกค้าก็หลอกกันทั้งนั้น เรียนๆไปเถอะ จบไปแม่งก็เหมือนกัน ไปหลอกกัน นั้นอาจารย์มาแล้วไง กูขอทีหลังสุดเลยแล้วกันนะเพื่อน, ห่า มึงดิ มึงทำมาไม่ใช่เหรอ, เออว่ะ อาจจะจริงอย่างมึงว่า กูก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูจะซวยเอา มาตรฐานสูงตั้งแต่แรก, อาจารย์ครับผมจะทำโมเดิร์นครับ, อะไรว่ะก็ดูมีความรู้แล้วนี่หว่า ทำไมโดนสวดซะขนาดนี้ อายชิ๊บหายเลย ทำไงดีว่ะ อาจารย์แม่งพูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย ทำไมต้องคิดมากขนาดนั้นด้วย สถาปัตยกรรมมันขนาดนั้นเลยเหรอ มันกินได้หรือเปล่าว่ะ คนอื่นพวกมันจะรู้กันหรือ ถ้ามึงไม่บอกกูก็ไม่รู้เลยนะเนี่ย แล้วคิดไปทำไม ในเมื่อแม่งก็ไม่ได้อยากจะรู้อยู่แล้ว เปลืองสมอง

ครั้งแรกที่กูเจอพี่เค้า แม่งทำให้ชีวิตกูเปลี่ยนไปเลยนะวันนั้น กูยอมรับเลยว่ากูที่เป็นกูอยู่ตอนนี้ แม่งมาจากแก กูยอมให้แกทุกอย่าง เรียกว่าเป็นเพื่อนตายเลย ไม่หรอก คือเรียกว่าเพื่อนได้อย่างไม่กระดากปากนะ หรือมึงว่าไงว่ะ, กูไม่รู้นะ กูว่าแม่งคนๆหนึ่งจะเจอเรื่องแบบนี้ได้ มันไม่ใช่ง่ายๆ กูว่ากูโชคดีที่เจอแก ไม่งั้นกูแม่งเหลวแหลกไปแล้วหว่ะ กูแม่งเคยโง่มาไง ไม่เหมือนพวกมึงที่พวกมึงมีความคิด มีความสามารถมาตั้งแต่ต้น มันเหมือนกูได้เจอโลกใหม่ที่กูไม่รู้จัก มันทำให้กูกระตือรือร้นที่จะอ่าน ค้นหา ไม่อยุดหย่อน ซึ่งกูว่ามันเป็นจุดที่ดีมากๆในชีวิตของกูเลย เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของกูก็ว่าได้ มึงลองเปรียบเทียบดูแล้วกัน, อีกอย่างนะ กูไม่ได้รู้สึกว่ามันยากเย็นแสนเข็ญเหมือนที่พวกมึงรู้สึกกันในตอนนี้ เพราะกูรู้แค่ว่า กูไม่อยากกลับไปตรงจุดนั้นอีกแล้ว ห่าแม่งกูได้ 1.84 ติดโปรมาแล้วนะเทอมแรกเลย มันยากมากเลยที่จะทำให้มันดีขึ้น แม้ว่ามึงจะได้เกรด 4.00 ทุกเทอมก็ตาม อย่างที่บอก มันเป็นจุดที่ทำให้กูนึกถึงอยู่เสมอ เออ แม่งเปลี่ยนเรื่องคุยเหอะว่ะ กูว่าแม่งเครียดไป, อ่อ เหรอ กูนึกว่ามึงจะเบื่อเสียอีก หายากนะที่เจอคนที่สามารถคุยกันในเรื่องแบบนี้ได้ คนทั่วไป ไม่หรอก คนไทยส่วยใหญ่แม่งเจอแบบนี้ ก็ไม่อยากคุยแล้ว กูแม่งเบื่อคนพวกนี้เพราะแม่งไม่ได้เคยจะหยุดคิดเลยไง เอาแต่มุ่งหน้าไปอย่างเดียว คืองี้ กูขับรถไง แล้วชอบแวะที่ต่างๆ หรือแม้กระทั้งกูเดินเล่นในเมือง กูไปหมดแหละ น่าสนใจทั้งนั้น คือระหว่างทางมันมีอะไรอีกมากมายไง ทำไมจะต้องบอกว่ากูจะไปสยามแล้วก็ไป ไปทำห่าไรกันว่ะ ไม่ใช่ว่ากูไม่ไปสยามนะ เพียงแต่มึงจะมุ่งมั้นอะไรขนาดนั้น กูเจอร้านอาหารอร่อยๆตั้งเยอะ ในขณะที่กูทำให้ตัวเองหลงทาง แล้วมันทำให้กูรู้เส้นทางอีกตั้งเยอะ ไม่ใช่ว่าทางอ้อมมันไม่ดีหรอก มึงลองดูประวัติศาสตร์ก็แล้วกัน เราแม่งอ้อมกันมาทั้งนั้น ทางลัดมีไว้ทำเหี้ยอะไร, แม่งทำให้คนโง่ลงเรื่อยๆ, ทุกคนต่างไปทางนั้นหมด สำเร็จรูป คือมันง่ายไง กูเลยไม่ชอบอ่านหนังสือที่แบบว่า วิธีพัฒนาตนเองอะไรประมานนั้น เพราะแม่งจะลัดไปทำไมว่ะ เราก็เรียนรู้ตัวตนของเราไปสิ สังคมของเรามันก็หล่อหลอม เป็นเบ้าให้เรา ตอนนี้แม่งทั้งเมืองเหมือนกันหมด เหมือนกับถูกปั้มมาจากโรงงานเดียวกันเลย เพราะไอ้หนังสือบ้าบอพวกนั้น แล้วพอคนที่มาจากแบบนั้นมันเยอะเข้า คนแบบที่ไม่ได้อ่าน หรือทำตามอย่างที่พวกมันทำกัน แม่งก็มาหาว่าที่ทำแบบนั้นมันผิด มันต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ทุกอย่างมันผิดหมด มึงว่าไง, ใช่ กูชื่นชอบคนสมัยก่อนมากเลยนะ ที่กว่าจะหาตัวตนของตัวเองได้ แม่งใช้เวลามาทั้งชีวิต กูถามหน่อยว่า มีซักกี่คนที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ง่ายๆเลย, เอาแค่นี้แม่งก็ยากแล้ว ไม่ต้องถามว่า มึงได้ทำอะไรอย่างที่มึงชอบแล้วหรือยังในชีวิต เอาแค่คำถามแรกมึงก็ตายกันหมดแล้ว หายากมาก ที่รู้ว่าตัวเองคืออะไร ชอบอะไร ทำอะไรอยู่ ทำไปทำไม ทุกอย่างมันต้องถูกตอบให้ได้ก่อน, เดี๋ยวนี้แม่งก็หลอกๆไง แบบว่าทำอะไรที่คนอื่นไม่ทำกัน แล้วบอกว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองชอบ กูอาจจะผิดก็ได้นะ คิดว่า, อ่า มึงลองนึกดูดิ ง่ายๆเลย เด็กๆมึงอยากเป็นไร มันเป็นคำถามที่งี่เง่าที่สุดเลย แม่งถามเด็ก ป.1, ห่าแม่ง มันจะรู้ได้ไง พอตอบไม่ได้ก็ได้ทีผู้ใหญ่เลย เป็นหมอสิ (รวยดี) จะได้ช่วยคน เป็นวิศวะกรสิ (รวยดี) จะได้เก่งๆ เป็นนักวิทยาศาสตร์สิ (รวยดี) จะได้ไปนอกจักรวาร แม่งอะไรทำนองนี้, มึงยังจำได้ป่ะตอนที่เราไปเชียงใหม่กันนะ city walk ที่อาจารย์แกพาไปนะ แม่งสุดยอด กูว่าวันนั้นเป็นอะไรที่ดีที่สุดที่ไปเชียงใหม่กับแกแล้ว ที่เราไปนั่งฟังอาจารย์เชียงใหม่แกพูด ชื่ออะไรนะกูจำไม่ได้, เออ ช่างมันเถอะ ไม่สำคัญเท่าเนื้อหาหรอก เห็นหรือเปล่า คนอื่นๆแม่งจะจำแต่ชื่อคน แต่แม่งไม่ได้เนื้อหาอะไรเลย จำไปทำไม ก็ที่เราเรียนประวัติศาสตร์ไง แม่งเอาแต่ท่องจำห่าอะไรก็ไม่รู้ มันเลยคิดกันไม่เป็นไง, เออ กลับมาก่อน คือวันนั้นแกบอกว่า ความจริงมีหลายชุด, เออ สุดๆเลย แม่งมันทำให้เห็นภาพไง ที่แต่ก่อนความจริงเกี่ยวกับโลกของเรา แม่งแบนในสมัยนั้น แต่ตอนนี้มันกลม ต่อมาแม่งวงรี พอโลกมันแคบด้วย internet ก็แม่งกลับมาแบน โลกแม่งไม่ได้กว้าง เพราะคนแม่งเดินทางได้ไกลขึ้น ทำนองนี้ เพราะฉนั้นมันเลยทำให้กูรู้เลยว่า มันมีหลายอย่างที่สามารถตอบคำถาม หรือสิ่งที่ต้องการคำนิยาม สามารถเป็นไปได้ทั้งนั้น เพราะฉนั้นพวกมึงอย่างเชื่อกู นิยามมันเองเถอะ, แล้วมันเชื่อมโยงไง มึงอ่านโลกของโซฟียัง, สุดๆครับ แม่งเล่าปรัชญา ความเชื่อ สิ่งต่างๆที่มันเปลี่ยนแปลงตามแต่ละยุคสมัยได้อย่างดี อย่างนิชเช่ เองก็บอกว่าเราไม่สามารถเชื่อสิ่งต่างๆได้เลย เพราะมันผ่านมาจากการตีความทั้งสิ้น, เออ กูคิดว่านะ ถ้าจำไม่ผิด, ประมานว่าพวกตัวหนังสือที่เราอ่านๆมันอยู่ เราต้องมาตีความมันอง ไม่สามารถเชื่อได้ทั้งหมดในนั้น เพราะมันมาจากการตีความมาแล้ว แล้วมึงเห็นพวก reference ในหนังสือนั้นป่ะ แม่งคือการตีความจากการตีความซ้ำๆกันไง แม่งทับกันไปเรื่อยๆ บิดเบือนไปหมด แม่งไม่มีอะไร original แล้ว, มันทำให้กูต้องกลับมาคิดเลยว่ากูคิดยังไงกับมัน การอ่านมันทำให้รู้มากขึ้นนะ กูชอบอ่าน แต่กูไม่ชอบอ่านเก็บรายละเอียด กูรู้ตัวเองเลย เพราะว่ากูเชื่อแบบนี้ ส่วนมึงกูรู้ว่ามึงเป็นคนอีกแบบ มึงด้วย ซึ่งมันก็แปลกดีที่เราแม่งคบกันได้, เอ้า ห่า มึงเปลี่ยนเรื่องคุยเร็วนะเนี่ย เออ กูชอบหว่ะ ถ้าเป็นคนอื่นคงงงไปแล้วว่าเราคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันได้ยังไง มึงว่าไงนะ, อ่อ เออ กูก็ดูนะ ชอมมากเลย matrix นะ กูว่าเป็นหนังที่มีปรัชญาแฝงอยู่เยอะเลย ไม่รู้คนอื่นว่าไงนะ, มันออกมาจากคำพูด สิ่งที่มันพยายามจะบอกไง ชอบตอนที่ไอ้คนในสภาแก่ๆหัวขาวๆพูดว่า ผมไม่รู้หรอกว่าเครื่องบำบัดน้ำเสียทำงานอย่างไร แต่ผมรู้แน่ๆว่ามันทำอะไร แล้วถ้ามันไม่ทำงานแล้วจะเกิดอะไร, แม่งแบบเป็นประเด็นที่เราแม่งไม่เคยนึกไง เราแม่งเรียนกันไปดิ physic ไม่เคยเอามาใช้ได้เลย, กูไม่ได้บอกว่ามันเอามาใช้จริงไม่ได้ในชีวิตประจำวันนะ กูแค่บอกว่า เราไม่สามารถจะนำมันมาใช้ได้ต่างหาก เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทำอะไรได้บ้าง เรารู้แต่สูตรมัน วิธีการของมันเท่านั้น แม่งแย่ที่สุดแล้วกูว่า คือตอนนี้กูมองว่าไอ้พวกวิชาพวกนั้น มันเป็นวิธีการมองโลกในอีกแง่มุมหนึ่ง เช่นพอมึงขับรถ มึงสามารถเอามาอธิบายได้ไง เช่นว่าทำไมรถบรรทุกแม่งออกตัวช้าจังว่ะ แม่งทำไมมันเบรกทำไมอีกตั้งไกล ทำไมเราถึงตัดหน้ารถบันทุกแล้วอันตราย มันตอบได้ดีกว่าชุดความคิดอื่นๆ ไม่สิ ได้ง่ายกว่ามากกว่านะ, มีอีกนะ ตอนที่ morpheus แม่งถามว่า อะไรคือความจริง สิ่งที่เราสามารถพิสูจน์ได้หรือ สิ่งที่เห็น สิ่งที่สัมผัสได้หรือ แล้วถามต่อด้วยว่า ถ้านี่คือความฝัน แล้วคุณคิดว่าฝันนั้นเป็นความจริงอย่างที่คุณไม่สามารถแยกออกได้ แล้วคุณจะแยกมันยังไงระหว่างความฝันกับความจริง เออไม่เป๊ะนะ แต่ประมานนี้, กูว่าเป็นคำถามที่ดีมากเลยว่ะ, คือเมื่ออาทิตย์ก่อนกูเรียนวิชา seminar แกให้อ่านเกี่ยวกับเรื่อง senses ของมนุษย์ แล้วออกมา present กูเป็นคนแรกเลยหว่ะ ก่อนหน้านั้นกูก็อ่านคิดว่าไม่มีอะไร พออ่านจบแล้วมาคิดๆดู แม่ง senses ทุกอย่างของเราแม่งถูกหลอกได้หมดเลยว่ะ น่ากลัวมาก แล้วมึงรู้ป่ะว่า sense ที่แม่งหลอกง่ายที่สุดก็คือตาเรานี่ไง มันถูกตอกย้ำด้วยวิธีที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน ว่าเรื่อง marketing, advertising ต่างๆนาๆ แม่งทำไมสำคัญนักว่ะ เพราะมันหลอกเราได้ มันควบคุมความเชื่อของเราได้, มันเคยมีคนทำการทดลองที่เราภาพของโค๊กไปใส่ไว้ใน frame หนึ่งของหนัง แล้วแม่งทำให้คนดูดูอย่างที่ไม่รู้ตัว แล้วไงรู้เปล่า เขาว่ากันว่า คนแม่งอยากแดกโค๊กว่ะ, หิวน้ำว่ะ ไปหากาแฟกินกัน, คาปูชิโน่ร้อนครับ, นั้งข้างนอกนะ กูจะสูบบุหรี่ด้วย, น่าไม่ร้อนเท่าไรหรอก นี่มันตอนเย็นแล้วนะเว้ย, ขอบคุณครับ ขอที่เขี่ยบุหรี่ด้วย, กาแฟกับบุหรี่แม่งเป็นสิ่งที่โครตจะเข้ากันเลยว่ะ มีสองสิ่งนี้กูอยู่ได้ทั้งวัน เฮ้ย ขอโทษๆ ลมแม่งพัดไปทางนั้นว่ะ เปลี่ยนที่กัน, ดีขึ้นหน่อย, กูเริ่มเมื่อไหร่จำไม่ได้แล้ว แต่น่าจะประมาณมัธยม 6 มั้งนะ แต่ครั้งแรกจริงๆ ก็ประถม ลองดูนะ ตอนนั้นแม่งดูดไม่เป็นไง แม่งเป่าออกอย่างเดียวเลย พอมาอีกหน่อย ประถมปลายก็เริ่มเอามาดูด ตอนนั้นดูดอย่างเดียวไม่ได้เอาเข้าปอด ขโมยพ่อมา น้องกูแม่งฟ้องพ่อ โดนตีซะ แล้วเป็นไง ไอ้เหี้ย ต้อนนี้แม่งก็ดูดเหมือนก ชวนกูด้วยู, ไม่รู้ดิ กูคงคิดว่าเท่ห์มั้ง จริงๆนะ ใช่ๆ ใช่เลย เท่ห์ เวลากูดูดแล้วมันนึกถึงหนังเจ้าพ่อที่เวลาแม่ง close up ไปที่มือเพรียวๆของมัน มีควันที่ออกมาอย่างสวยงาม กูแม่งยอมเลยฉากแบบนั้น, ประเด็นคือ กูไม่ได้บอกว่าเท่ห์ให้ใครดูไง คือกูคิดว่ากูเท่ห์ แค่นั้นแม่งก็พอแล้ว คนอื่นอาจบอกไม่ ช่างแม่ง กูดูด ไม่ใช่มึงซักหน่อย กูคงมีโลกส่วนตัวเยอะมั้ง, เอ้ย กูไม่ได้ติดน่ะ ไม่ดิ ติดแหละ แต่ถ้าไม่ให้ดูดกันเลย แบบบังคับน่ะ กูทำได้ ไม่ได้ลงแดงอะไรมาก มันไม่ใช่ทุกสิ่ง แค่กูชอบ ทำแล้วรู้สึกดี ไม่ได้เบียดเบียนใครมากนัก เพราะเวลากูดูดกูก็พยายามดูต้นลมนะ ไม่ให้ไปโดนคนอื่น ถ้ามีคนอื่นอยู่ กูไม่ดูดตรงนั้น ไปห่างๆ แต่ถ้ากูดูดอยู่ก่อนตรงนั้นแล้ว มึงมาทีหลัง แล้วมาบอกให้หยุด มึงบ้าหรือเปล่าว่ะ กูไม่ได้ดูตรงป้ายรถเมล์นะโว้ย, เหี้ยแม่ง ประเทศไทยกูล่ะขำ แม่งรณรงค์กันแม่งเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วมึงขายทำไม รัฐบาลขายทำไม มึงไม่อยากให้คนดูด ก็ไม่ต้องขาย เหี้ย ปากว่าตาขยิบ, เหี้ยถ้ามึงบอกว่าอย่าดูด แล้วมึงไม่ขายน่ะ กูยอมเลิกให้พวกมึงเลย ยอม จริงๆ, คือมันเหมือนกับแม่ทำพฤติกรรมสวนทางกับลูก กูเคยได้ยินมาว่า ถ้าแม่จะตำหนิลูก ทุกอย่างมันจะต้องสัมพันธ์กันเพราะเด็กแม่งจะจำอย่างนั้น เช่น มึงด่าลูกแล้วหน้ามึงยิ้ม ชิ๊บหาย เด็กแม่งจำว่าแม่ยิ้ม แม่งแม่โกรธ, ประมานนั้น, เออ กูถามหน่อย ถ้ามีป้ายห้ามสูบบุหรี่ กับที่เขี่ยบุหรี่ อยู่ตรงหน้ามึง มึงจะเชื่ออะไร, นั้นไงมึงไม่ได้เป็นคนดูดไง มึงเชื่อป้าย แต่กูเชื่อที่เขี่ยบุหรี่ไง เห็นภาพมั้ย, มึงดูญี่ปุ่น แม่งไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาไง ไม่ห้าม ทำที่ให้มึงดูดด้วย แบบประมานว่าไปตายกับพวกเดียวกันไปเลย สุดๆ มันต้องอย่างนั้น เพราะรัฐเองก็ต้องการเงินภาษีเหล้าบุหรี่นี่ จะขายก็เอาอย่างนี้ ตรงไปตรงมาดี กูชอบ, แต่ก็มีบางคนบอกไม่เห็นด้วยนะ กูเคยคุยกับเด็ก american พวกมันมองว่า อย่างนั้นรัฐมีแต่เสีย เพราะเหมือนเป็นการสนับสนุนให้คนทำลายสุขภาพตัวเอง แล้วในประเทศแบบมัน มันดูแลเรื่องแบบนี้ด้วยไง คือรัฐทั้งเสียงบประมาณค่าทำที่ให้ดูด แล้วพอมึงดูดเป็นมะเร็ง รัฐก็ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลให้มันอีก มันก็เลยเถียงกันไม่รู้จบ แต่กูเถียงไม่ออกนะ ตรงจุดนี้ มันมีเหตุผล, อ่าว บุหรี่กูหมดแล้วว่ะ เดี๋ยวมา, เปลี่ยนที่กันเถอะ ร้านแม่งจะปิดแล้วว่ะ แม่งเก็บโต๊ะแล้ว นั่งไปก่อนแล้วกัน มาไล่แล้วค่อยไป นี่มันร้านของคณะเราชัดๆ มีแต่เด็กที่คณะ ห่าแม่งนั่งตรงนี้เหมือนศาลพระภูมิเลย เหี่ยมาไหว้กันจัง เดินผ่านก็ไหว้ เออก็ดีนะ อย่างน้อยเราก็ดูเหมือนจะมีตัวตนอยู่บ้าง, ทำไมมันไม่มีร้านที่แม่งเปิด 24 ชั่วโมงเยอะๆบ้างว่ะ ห่าเท่าที่กูรู้แม่งก็ร้าน McDonnell ที่สีลมที่เดียวเอง พวกแม่งไม่รู้หรือยังไงว่ะ ว่าเด็กมันไม่มีที่ไป แล้วก็ไปโทษเด็กว่าชอบไปเที่ยว pub bar ห่าอะไรนั้น เพราะพวกมันไม่มีที่ไปไง พวกเราแม่งยังวัยรุ่นกันอยู่เลย, พลังงานมันเยอะ ไม่มีใครอยากอยู่บ้านหรอก, เออ มีน่ะมันมี แต่โดยทั่วไปแล้วไง มันกลุ่มใหญ่ ที่สาธารณะเองก็ไม่ใช่ทางเลือก เพราะแม่งมีแต่ต้นไม้โชว์เหี้ยอะไรก็ไม่รู้ ได้แต่บังแดด มันไม่มีกิจกรรมรองรับไง เด็กก็ไม่ไป กลายเป็นที่คนแก่มายืดที่ออกกำลังกายอย่างเดียว, แล้วแม่งยังมีกฏมากมาย ห่า ที่สาธารณะทำอะไรได้บ้างว่ะ จักรยานก็เอาเข้าไปไม่ได้ ทำอาหารไปก็ไม่ได้ สัตว์เลี้ยงก็ไม่ได้ มันมากเกินไป, ถ้าที่สาธารณะยังไม่ได้ ที่ไหนแม่งจะได้ว่ะ ที่ส่วนตัวกูว่ากฏยังเยอะเข้าไปใหญ่, แยกให้ออกนะ ห้างไม่ได้เป็นที่สาธารณะน่ะ มันส่วนตัว แค่มันยอมให้เราเข้าไป มันจะไล่เราออกมาก็ได้ ไม่ผิดด้วย, กูว่า Thesis กูจะทำเรื่องนี้ กูสนใจ มันมีพวกทฤษฏีเกี่ยวกับ Third place ที่แบบระหว่างบ้านกับที่ทำงาน น่าสนใจดี แม่งก็สภากาแฟดีๆนี่เอง, Starbuck แม่งเอาไปทำแล้ว แต่แม่งก็เอาไปตอบโจทย์ทางการค้า คนไม่มีเงินมันใช้ไม่ได้ ไม่ mass พอ, ครับๆไปแล้วครับ ช่วยยกโต๊ะไหม

พี่ไปสีลมครับ มึงนั่งหลังกับมันแล้วกัน, ห่า ก็หาอะไรคุยกับมับ้างสิว่ะ มัวแต่อ่ำอึ้งกันอยู่ได้ กูรำคาญ, เออ กูรู้ว่าแม่งไม่ยอมเปิดใจ แต่ก็พยายามหน่อยแล้วกัน เสือกชอบเพื่อนกลุ่มเดียวกันเอง เหี้ยเดี๋ยวก็เสียมันไปหรอก ตอนนี้มันก็เริ่มจะห่างๆเราไปแล้วนะ แม่งโลกส่วนตัวเยอะ เก็บไว้เยอะ มาจากโรงเรียนชายล้วนก็งี้แหละ กูก็เป็น อย่าคิดมาก มันแสดงออกกับเพศตรงข้ามไม่ค่อยเป็น กูไม่อยากเสียมันไป

กูเอาชุดซามูไร สั่งให้ด้วย เดี๋ยวกูมา ปวดฉี่ นั้งตรงนั้นแล้วกัน, สรุปเรื่อง cheer ที่คณะเอายังไงดีว่ะ อยากให้ปี 1 แม่งรู้อะไร, เออ เห็นด้วยว่ะ กูไม่คิดว่าเด็กมันจะสามารถรับสารที่เราอยากจะบอกได้ 100% อยู่แล้ว 5% กูก็พอใจแล้ว เรามีเวลาแค่เดือนเดียวเอง อาทิตย์ละสองครั้ง มันจะอะไรมากมายว่ะ เอาแบบเรื่องเดี๋ยวประเด็นเดียวไปเลย มันจะได้ง่ายที่สุดแล้วก็มีเปอร์เซ็นเยอะหน่อย, เออ เรื่องนี้ก็ดีนะ มึงว่าไง, ให้มันรู้จักตัวเอง, แต่แม่งเรื่องใหญ่นะ เราอาจจะต้องแบ่งไปเป็นส่วนๆจากเล็กไปใหญ่ กูคิดว่านะ, ก็นี่ไง รู้จักตัวเอง คนอื่น แล้วก็คณะ, กูว่าให้แม่งแบบใช้เวลากับส่วนแรกเยอะหน่อย มันเข้าใจยาก ให้มันยอมรับตัวเอง กล้าแสดงออก ก็โอเคนะ, นี่เราจะไม่ปรึกษาเพื่อนๆเราหน่อยหรือ คิดกันแค่สามคนนี้ เดี๋ยวมันจะหาว่าเราไปบังคับบงการมัน, เห็นด้วย แต่ก็ เออถูกของมึง คนมากเรื่องเยอะ จับประเด็นห่าอะไรไม่ได้เลย กว่าจะได้แต่ละที แม่งงี่เง่ากันมากเลยว่ะ, มึงว่าท่าทีกับคำพูดของ staff แม่งสำคัญหรือเปล่าว่ะ กูกำลังคิดว่ามันมีผลในระยะยาวเลยนะ ยิ่งปีแรกที่มันเข้ามา มันรับทุกอย่างหมดเลย ดูอย่างเราสิ มึงจำได้มั้ย ที่พี่แม่งมาบอกว่า ทำงานแบบลวกๆไปเถอะ เดี๋ยวก็ผ่าน ทำเอาวันสุดท้าย, กูว่าแม่งเป็นการสร้างทัศนคติที่แม่งฝังรากเลย, แล้วแม่งยังมีอีกมากมายที่เราเป็นกันอยู่อย่างนี้ ระบบ cheer ที่ไม่ได้คำนึง จะทำให้เราปลูกสิ่งที่มันเป็นเชื้อร้ายต่อกันไปเรื่อยๆ, กูว่ามันน่าจะมีบทที่ตายตัวอยู่บ้างน่ะ แต่ไม่ทั้งหมด, แล้วค่อยมาต่อเหอะ ง่วงแล้ว

สวัสดีครับอาจารย์ นี่ครับลองดูก็แล้วกันว่าเป็นไง, อืม ใช่ คือหลักการคืออย่างนั้น แต่ผมว่า form มันยังไม่สวย, ครับไว้ก่อนก็ได้, เมื่อวานพึ่งไปเจอกันแถวๆหอพักเอง คุยกันยาวเลย แล้วก็ไปต่อที่ McDonnell ที่สีลมถึงตีสาม, ก็คุยเรื่องทั่วไปแล้วก็ cheer ด้วย เออ ผมใส่ชื่อพี่เข้าไปใน proposal นะ เป็นที่ปรึกษา แล้วไงเดี๋ยวผมจะนัดพวกมันมาคุยด้วยกันกับพี่อีกที เดี๋ยวโทรบอก งั้นเจอกันที่เดิมนะครับ

ไง เออ พี่แกมายังว่ะ, สงสัยขอสองแน่นอน สองทุ่ม, ทุกทีแหละ ทำไมไม่นั่งข้างนอกกันว่ะ กูจะดูดบุหรี่, เออ ข้างในก็ได้ เดี๋ยวกูอยากเดี๋ยวออกไปเอง, เหมือนเดิมนะครับ สามสิบห้าใช่เปล่า, เบื่อๆว่ะมั้ยช่วงนี้ วุ่นวาย คิดเยอะเกินเหตุ คนอื่นแม่งมองว่าเราเป็นพวกเด็กเรียนหมดแล้ว อยู่แต่กับอาจารย์, ช่างแม่งเหอะ ไม่ได้เครียดอะไร แม่งก็ปกติดี คนอื่นต่างหากที่แม่งคุยแบบนี้ไม่ได้ หรือไม่ชอบคุย ก็เลยว่าเราเป็นพวกซีเรียสไป กูไม่ค่อยสน แต่พอมีห่าอะไร ก็มาถามเราทุกที ไม่กล้าตัดสินใจ, ไม่ยอมโตกันบ้างว่ะ, เออ กูอาจจะเกินไปนะบางที แต่เรื่องแบบนี้มัน เออ อ่า มึงดูดิ แม่งเหมือนเด็กเลย งอแง แล้วก็ปัดความรับผิดชอบ มันเคยตัวไง พอเด็กแม่งทำอะไรผิด พวกผู้ใหญ่ก็บอกว่ามันยังเด็กอยู่ หมายความว่าไงว่ะ หมายความว่า แม่งไม่ต้องรับผิดชอบไง, เออ ถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่าไม่ต้องรับผิดชอบ, ไม่เป็นไรครั้งแรก ไม่เป็นไรไม่กี่ครั้งเอง ไม่เป็นไรเป็นผู้หญิง ไม่เป็นไรห่าอะไรว่ะ มันเป็น แค่มึงต้องรับผิดชอบ ไม่ได้หมายความว่าผิดไม่ได้นะ แต่ผิดแล้วต้องรับผิดชอบ ต้องรู้ผลที่จะตามมา แล้วยอมรับผลของการกระทำของมึงเองได้ด้วย ไม่ว่าจะอย่างไร, ซีเรียสอีกแล้ว, กูคุยแบบนี้ได้แค่กับพวกมึงเท่านั้น การที่เราจะหาใครคุยเรื่องที่คุยกันได้แม่งยากเนอะ ว่ามั้ย แล้วพอมึงคุยได้น่ะ แม่งคุยใหญ่เลย สุดท้ายไม่มีเรื่องจะคุยไง ได้แต่มานั้งจ้องตากัน กัดเล็บ ดูเท้าตัวเอง แล้วก็กลับบ้านอย่างสบายใจอย่างบอกไม่ถูก กูคิดว่าพวกเราจะเป็นอย่างนั้นในอีกไม่ช้านี้, กูคงชอบ moment นั้นที่สุดนะ แค่เดานะ, กูมีเพื่อนเก่าตอนมัทธยมอยู่คนสองคนที่เป็นแบบนี้แล้ว โครตจะชอบเลย ไปไหนไปกัน แค่มาเจอกันก็พอ ที่ไหนก็ได้ กูเห็นหน้ามึงคุยสองสามคำ นั่งไปซักสองสามชั่วโมงกลับกูพอใจแล้ว, อ่อ เหรอ แล้วมึงไม่ไปเหรอ อยู่สตูดิโอเดียวกัน, ไปทั้งหมดเลย ห่าแล้วไม่ไปว่ะ น่าสนุกดี, อืม เห็นด้วยอย่างแรง แม่งบ้า มันจะเอาอะไรกันนักหนา นานๆได้ไปด้วยกันทีเนอะว่ามั้ย เมากันหัวราน้ำ, กูไม่ชอบเลยมาเจอกัน ชวนไปแดกเหล้าแล้วเมาจำไม่ได้ เจอกันทำไม ไม่มีเหตุผล เหี้ย กินแบบกระชับมิตรไม่เป็นหรือยังไงว่ะ พวกเด็กมหาวิทยลัยเนี่ย เป็นทุกที่เลย หรือว่ามันเก็บกดที่ผ่านๆมา น่าจะใช่, ไม่หรอก กูว่านะ พวกแม่งใช้ชีวิตกันไม่เป็นซะมากกว่า ใช่ส่วนหนึ่งมันมาจากสังคมที่อยู่รอบตัวเรา กดเราไว้ แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางออก กูมองว่างั้น หรือมึงว่าไง, แม่งคิดกันไม่เป็นด้วยไง แต่ก็อย่างว่า สอนให้คนคิดเป็นเองได้ กูว่ายากที่สุดแล้ว ในขบวนการทั้งหมด ถ้าแม่งได้ตรงจุดนี้น่ะ สบาย คือมันไม่ได้ติดกับไอ้สูตรที่แม่งตายตัว ซึ่งเอาเข้าจริงๆแล้ว แม่งก็ไม่ได้ตายตัวซักหน่อย ใครไปบอกมันว่ะ ไอ้พวกทฤษฏีแม่งก็แค่คำอธิบายปรากฏการต่างๆที่มันเกิดขึ้นเท่านั้นเองในตอนนั้น แม่งเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา คลั่งกันเกินไป มึงดูอย่างพวกทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์สิ แม่งเปลี่ยนตลอด พวกประวัติศาสตร์แม่งก็เหมือนกัน เพราะมันไม่เชื่อไง เลยต้องหาวิธีอื่น พวกคอมมิวนิสต์ ประชาธิปไตย ทั้งหมดก็แค่คำอธิบาย เราแค่ต้องรู้แล้วเข้าใจมันก็พอ แล้วเลือกไป เหลียวหลังซะหน่อยบางครั้ง โลกของโซฟีเลย อ่านยัง, อ่าวเหรอ ไม่มาแล้ว อะไรว่ะ แกคงเหนื่อย ช่างเหอะ, คืนนี้ไปเยาวราชกันเปล่า หาอะไรกินกัน, พรุ่งนี้มีเตะบอลเหรอ มึงเล่นเปล่า, อ่อ เออ กูไม่ดูมึงนะ ขี้เกียจ กูอาจไปรอมึงที่ห้องสมุด เสร็จแล้วก็ไปหาแล้วกัน กูคงอยู่กับมันแหละ ไม่ก็ตรวจงานกับอาจารย์อยู่ กูจะขอสองแกบ้าง

เสียงในความทรงจำ - วรพจน์ พันธ์พงศ์

ความในตอนหนึ่งในหนังสือ
ปรัชญาชีวิตและความรัก ศักดิ์สิริ มีสมสืบ พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร GM กุมภาพันธ์ 2545

----
คนเรามักจะต้องการพ้นทุกข์ หากันอยู่นั้นแหละ
เจอหนังสือเซนเล่มหนึ่ง เขาบอกว่า

หน้าต่างที่มีกระจก มันมีคราบฝุ่น ก็เช็ดกันอยู่นั้น
เดี๋ยวมันก็มีอีก เช็ดมันอยู่นั้นแหละ
ก็เอากระจกออกสิ ก็ไม่ต้องเช็ดแล้ว

ประมานนี้นะ ไม่เป๊ะ แต่ก็นี่แหละ

Monday, September 22, 2008

time to pretend: MGMT


I'm feeling rough, I'm feeling raw, I'm in the prime of my life.
Let's make some music, make some money, find some models for wives.
I'll move to Paris, shoot some heroin, and fuck with the stars.
You man the island and the cocaine and the elegant cars.

This is our decision, to live fast and die young.
We've got the vision, now let's have some fun.
Yeah, it's overwhelming, but what else can we do.
Get jobs in offices, and wake up for the morning commute.

Forget about our mothers and our friends
We're fated to pretend
To pretend
We're fated to pretend
To pretend

I'll miss the playgrounds and the animals and digging up worms
I'll miss the comfort of my mother and the weight of the world
I'll miss my sister, miss my father, miss my dog and my home
Yeah, I'll miss the boredom and the freedom and the time spent alone.

There's really nothing, nothing we can do
Love must be forgotten, life can always start up anew.
The models will have children, we'll get a divorce
We'll find some more models, everything must run it's course.

We'll choke on our vomit and that will be the end
We were fated to pretend
To pretend
We're fated to pretend
To pretend

อันนี้เป็นเนื้อเพลง อันนี้เป็น เพลงจริง ลองเข้าไปฟังดู
  http://www.myspace.com/mgmt 

ฟังแล้วอยากเกิดเป็นผู้ชาย เซง อันนี้ส่วนตัว หิหิ

Wednesday, September 10, 2008

เอ่อ..

same same
but
different

...........

my book

ตอนนี้กำลังเขียนหนังสืออยู่
อยากลองดูบ้าง
กะว่าจะส่งไปสำนักพิมพ์ดู ถ้าเค้าให้พิมพ์อ่านะ

Tuesday, September 9, 2008

Japanization

From my experiences, Japan is a nice organizer of the world.
Everything is on the rule or/and regulation.
People also nice because of rule but moreover, the rule also be
the nature of the nation. Unbelievable, urban, people and activities
in the city merge together nicely. How can they do like that?

Land use is the most popular talk in the globalization.
Some people sad "Thailand has many layers"
but I will say "Thailand has many physical layers"
but "Japan has many mentality and physical layers"

The land use of Japan is organized well such as the underneath of
express way or/and sky railway. They use the land to do something 
such as commercial for motivate the city could be. Also it is a
security for people to walk through the road. And how about Thailand?
We just have a homeless there. I do not hate them but we can do more
organize. 

Finally, I do get many thing from this trip. I also see many different culture
and thing there, that make my eyes open wider.