Friday, February 27, 2009

เหงา


















ไม่รู้ว่าทำไม ช่วงนี้ผมถึงได้คิดถึงความรู้สึกเหงามากครั้งเหลือเกิน
หรืออาจเป็นเพียงแค่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับคนที่อยู่ตัวคนเดียว
แต่คงไม่ถูกนักหากเราจะเหมารวมดื่อๆอย่างนั้น
บ่อยครั้งไม่ใช่หรือที่เราก็เหงาอยู่ลึกๆเวลาอยู่กับคนอื่น
เพราะฉนั้นผมจึงตกลงใจตัดประเด็นนี้ทิ้งไปเสีย

และแล้ว ผมก็รู้ เราหากแต่ไม่มีจุดประสงค์
-- ถ้าจะให้เรียกอย่างเป็นทางการ --
จริงๆแล้วผมชอบเรียกมันว่า สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ
ดูจะเป็นสิ่งที่ตรงกับใจผมมากที่สุด
ในคำภีร์ไบเบิ้ลของชาวคริสเตียนเขียนไว้ดังนี้

“For where your treasure is there your heart will be also”
Matthew 6: 20-21


ผมแปลอย่างตรงตัวว่า สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจเราอยู่ที่นั้น
แต่
ผมไม่ชอบ เพราะเข้าใจยากมาก และกลับกันง่ายเกินไป

ผมแอบทำตัวฉลาด ตีความใหม่ว่า
เมื่อใจเราอยู่ที่ไหน ตัวเราก็อยู่ที่นั้น
น่าจะดูเหมาะสมกับตัวเองที่สุด

เหมือนคนทั่วไป -- คิดว่า --
ในยุคสมัยของความเร่งรีบ ฉาบฉวย ไร้สัจจะ และหยาบกระด้าง
หรืออะไรก็ตามแต่คนจะให้คำจัดกัดความ เรามีความเหงากันทุกคน
เนื่องจากไม่มีสิ่งที่ผมเรียกว่า ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ

บางผู้ คน -- โปรดสังเกตุ คำนามล้วนเป็นเพศชาย --
บอกว่าศาสนาป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยว ผมตอกกลับไป
จริงหรือ แน่ใจนะ อาจจะจริงก็ได้ใครจะไปรู้
แต่ที่แน่ๆต้องถามว่า แล้วพวกเขาเหล่านั้น
เหนี่ยวยึดกับสิ่งที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวหรือเปล่า
เหมือนการที่โลกหมุนรอบตัวเองและหมุนรอบดวงอาทิตย์
หากโลกไม่ได้หมุนรอบตัวเอง มันจะเป็นอย่างไร
เหมือนคุณประพาส แต่งเพลงเธอหมุนรอบตัวฉัน ฉันหมุนรอบตัวเธอ
ยังไงยังงั้น

หรือ เป็นที่ความเร็วของสังคม
จะเร็วไปทำไม รีบอะไรนักหนา ชีวิตมันสั้นขนาดนั้น
อย่างที่ใครๆเขาว่ากันจริงใช่หรือไม่

ไม่จริง -- ผมคิดว่า --
ทุกวันนี้ ผมหมายถึงปัจจุบันขณะ
เราแทบเบื่อชีวิตของตัวเองในแต่ละวันอย่างไม่น่าเชื่อ
เวลามันช้าจะตายเมื่อเรานั่งทำงานอยู่ที่ตึกระฟ้า

ไม่จริงอีกเช่นกัน -- ผมคิดว่า --
ที่เราบอกกับตัวเองว่า เมื่อเราทำงานในสิ่งที่ตัวเองชอบหรือสนุกกับมัน
แล้วจะทำให้เวลามันเร็ว

เวลามันก็เดินไปตามที่มันควรจะเดินแบบนั้น ไม่มีใครไปเร่งมัน
พระอาทิตย์ยังคงขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางตะวันตก
พระเจ้าให้เวลามาเท่ากัน ไม่ว่าคนๆนั้นจะดีหรือเลวแสนสาหัส

มีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยคุยให้ฟังว่า ใจของผมอยู่ที่ครอบครัว
ผมไม่เข้าใจ แอบปนไม่เชื่อ ใครก็พูดได้ ใครๆก็รักครอบครัวกันทั้งนั้น

แกเล่าต่อ หากครอบครัวของแกมีปัญหาอะไร
ไม่ว่าเวลาไหน ถึงแกจะทำงานอะไร สำคัญแค่ไหน
แกพร้อมละ ทิ้ง สิ่งนั้น แล้วกลับไปหาได้ในทันที

ผมเข้าใจ ผมว่าแกคงไม่เหงาเหมือนเราๆนี่หรอก

ผมถามตัวเองใหม่ ใจเราอยู่ที่ไหน

ผมสรุปได้ว่า เราไม่ได้หาที่อยู่ของหัวใจหรอก
หัวใจของเรามันไปที่ที่มันควรจะอยู่ตั้งนานแล้ว
เราแค่หามันไม่เจอ มันคงจะเศร้าและเหงาเหมือนกัน
คนที่เป็นเจ้าของยังไม่มาหาซักที แต่มันก็ไม่เคยตะโกน
เรียกร้อง โหยหา เราเลยแม้แต่น้อย
เพราะมันมีวุฒิภาวะมากพอที่จะเรียนรู้เรื่องการรอคอย

บางคนหาทั้งชีวิต ก็ยังหาไม่เจอ ไม่รู้ทำไม ของๆเราเองแท้
-- ที่พูดนี่ ไม่ได้ด่าใครและไม่มีคำตอบให้ตัวเองเหมือนกัน --

บางครั้ง หัวใจของเราก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ กระจายไปทั่ว
เหมือนเม็ดทรายบนหาดชายทะเล บ้างเป็นกลุ่มก้อน
บ้างเป็นเปลือกหอย และบ้างเป็นเศษขยะเหลือเดน
ไม่มีใครแม้กระทั่งที่จะเก็บไปทิ้ง

แล้วเราก็เดินเรื่อยเปื่อยอยู่อย่างนั้น นานๆครั้งจะมองลงมา
แล้วก็ผ่านไป คิดว่าคงเป็นของคนอื่น ไม่ใช่ของเราหรอก
ไม่สิ มันเหมือนๆกันหมด แยกไม่ออก ทรายก็คือทราย
มันไม่แยกประเภทเด่นชั้นว่านั้นของฉัน

ผมว่า ผมต้องไปตามหาที่อยู่หัวใจตนเองบ้างแล้ว

3 comments:

youngestsister said...

เห้อออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ

ยาวๆ หนึ่งที หลังจากที่ไม่ได้ เห้อมานาน

คงจะเป็นเพราะช่วงนี้เป็นช่วงเปลี่ยนแปลง หรือ เปล่าวะ
ก็เลยเกิดอาการแบบนี้ฮะโจ้

คนเรามันก็มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ในแต่ละช่วงต่างกันไปป่ะ เช่นช่วงนี้บางคนชอบเล่น blog กลับมาถึงบ้านไม่ทันไร ก็เล่นอีก ไม่จำเป็นต้องเป็นศาสนาหรอกมั้ง

เราเพิ่งมารู้ว่า จริงๆแล้วเราไม่ได้ต้องการศาสนาเป็นที่พึ่งขนาดนั้น เพราะ เรามาเห็นพี่ที่ออฟฟิต มีอยู่สองคนเค้า ไปวัด เดือนละหลายครั้งเลยนะ เราก็เลยรู้ว่า เราไม่ได้ต้องการ ไปวัด ไปถือศีลอะไรแบบนั้น เราก็แค่ชอบศาสนาพุทธ ที่เวลาเรามีเรื่องไม่สบายใจแล้วพอเรานึกถึง มันก็ทำให้เราเข้าใจอะไรได้มากขึ้น
หรือจริงๆ แล้วก็คือการที่มีศาสนาเป็นที่พึ่งแต่คนละแบบกับการไปวัด

ตอนนี้เราสบายใจสุดๆ ตั้งแต่เรียนจบมา
ก็เพลิดเพลินใจ มาตลอด ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
รู้สึกว่าตอนเรียน ทำไมมันทุกข์ได้ขนาดนั้นวะ
แบบ เป็นเอามาก พอมาถึงตอนนี้ ไม่อยากกลับไปเป็นแบบนั้นแล้ว เราเลือกได้ใช่มั๊ยล่ะ อาจจะเป็นเพราะว่าสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ มันทำให้เราสบายใจก็ได้

บรรดาเจ้านาย เค้าดีมากๆ ให้โอกาส ให้เรียนรู้ บางทีรู้สึกว่ามากกว่าตอนเรียนด้วยยังไงก็ไม่รู้ แบบมาทำงานแล้วถึงรู้สึกว่าว นี่แหล่ะ คือการเรียน

ทุกวันนี้ เงินหมดไปกับค่าเดินทางมากกว่าค่ากินอีก
ตลกมะ แล้วคนเราก็เอาเรื่องการเดินทางมาเป็นจุดขาย เช่น คอนโด ใกล้รถไฟฟ้า อะไรทำนองนี้

วันนี้เราเพิ่งไปฟัง สัมนา ที่คณะบัณชี จุฬามา ดีมากเลยนะ ฟังแล้วก็ได้อะไรเยอะมากมาย เค้าบอกว่า เราเคยคิดกันมั๊ยว่า วันนึงเราจะต้องมี ceo เป็นคนบุรีรัมย์ มีผู้จัดการฝ่ายขาย เป็นคน นราธิวาส มี partner เป็นคน สกลนคร แล้วมีแม่บ้านที่จ้างมาจาก เยอรมัน หรือ คนขับรถมาจาก อเมริกา โอ้โห ฟังแล้วมัน โดนใจ 555
นึกถึง บรรดา คนขับแท๊กซี่ อยากให้มาฟังด้วยจริงๆ
มันก็จริงนะ เราอยากแต่จะไปเป็นลูกน้องฝรั่ง

แปลกดีนะ ที่คนขับแท๊กซี่ทำไมต้องมาทน แย่งกันหาเงิน มาเป็นคนขับรถให้กับคนในเมือง พูดไป ก็เรื่องเดิมๆ นี่กำลังคิดไปถึงว่าถ้า ผู้ว่าในแต่ละจังหวัดเค้าน่าจะรณรงค์ ให้คนในจังหวัดที่กำลังจะไปทำมาหากินในเมืองเนี่ย ให้อยู่ในจังหวัด แบบจังหวัดเรามีไรให้ทำได้บ้าง ไม่ต้องมาเบียด กันอยู่แต่ในเมือง จะบ้าตาย แค่คนในเมืองมีเงินมากกว่าหน่อยเดียว ก็มาขับรถแท๊กซี่รับใช้กันละ เหอๆ ตอนนี้ความคิดในหัว ไปเร็วมาก พิมพ์ตามไม่ทัน

อืมมมม วันนึงเราก็คงจะกลับบ้านเกิด ไปทำอะไรซักอย่างเพื่อจังหวัดตัวเองก็น่าจะดี หรือกลับดาวบ้านเกิดไปเลย 555

เหมือนจะเบื่อแต่ก็ไม่เบื่อ แบบบางทีพอคิดว่าจะเบื่อ ก็กลับคิดเป็นว่า เออ หาไรทำดีกว่า ดีกว่ามานั่งเบื่อ แล้วก็คิดฟุ๊งซ่านไปเรื่อย แบบที่แต่ก่อน เป็นเอามาก เด๋วนี้ ก็ วาดรูประบายสีตามใจอยาก อะไรที่ชอบสงสัย ก็มีเวลามานั่งหาคำตอบ ชีวิตตอนนี้มันอิสระมากๆเลยชอบสุดๆ

ไม่รู้เหมือนนะ ว่างานที่ทำอยู่ตอนนี้ เราชอบมันที่สุดหรือเปล่า แต่เราก็สนุกในทุกๆวันเลย ได้ทำเยอะแยะไปหมด เหมือนกำลังได้เรียนรู้ เพื่ออะไรซักอย่างเลย

เออ ชอบชีวิตช่วงนี้มาก บอกได้ประมานนี้

ไว้คุยกันต่อไป

^_^

joesk121 said...

ชีวิต เริ่มจะมีจุดเปลี่ยนอีกแล้ว
ไม่แน่ใจนะ แตู่้สึกถึงมันได้

อาจเป็นเรื่องงาน

เราชอบมันจริงๆหรือเปล่าว่ะ
เรายังจะคงอยากทำมันไปอีก 2 ปี
หรืออีกหลายปีข้างหน้ามั้ย ไม่รู้

ถึงทางที่ต้องเลือก จะเอาไงดี

ชีวิต ตอนนี้ ก็โอเคนะ
อิสระดี
แต่บางคนก็ไม่นิ จบออกมาก็ไม่ได้เป็นแบบเราๆ
เค้าก็ดูมีชีวิตที่ดี

กูไม่รู้แล้วว่า กูควรจะอยู่ตรงนี้
หรือกลับไปที่บ้านดี กทม อ่านะ

อาจจะต้องย้ายไปอยู่ที่บ้าน ซึ่งอาจไม่คุ้นชิน
อยู่คนเดียวมานาน

แค่นั้น

kamenoi said...

ว้า...
มีแต่คนขี้เหงาแฮะ
อือ อาจเพราะเป็นคนต่างจังหวัดที่ต้องมาอยู่และใช้ชีวิตคนเดียวในเมืองเหมือนกันก็ได้

สำหรับเรา ตอนนี้มีอิสระในกรอบหว่ะ
มีเวลาเยอะให้ทำอะไรหลายอย่าง แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง
เพราะมีคนที่อยู่ข้างๆ มีบางอย่างที่ต้องนึกถึง
แต่ก็มีความสุขดี
สุขใจที่เราได้อยู่ใกล้ๆ กัน หัวเราะด้วยกัน

ได้อย่างก็เสียอย่างเนอะ มันก็แลกกัน



เรื่องที่พึ่งทางใจ ก็เป็นอะไรได้หลายอย่าง
แต่สำหรับเราประเด็นมันอยู่ที่ว่า
มันเป็นที่พึ่งได้จิงมั้ย มันเป็นคำตอบจริงรึเปล่า
มันทำให้เราอยากทำอะไรดีดี เป็นคนที่ดีกว่าเดิมมั้ย
นั่นล่ะที่ควรค่าพอ จะเป็นที่พึ่งทางใจ